บทที่ 14 จัดซื้อครั้งใหญ่
เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนล่าเสือและป้องกันไม่ให้ผู้มีอำนาจท้องถิ่นบังคับเอาไปซื้อขาย ทางราชสำนักกำหนดให้ศาลาว่าการปูนบำเหน็จสำหรับผู้ที่ฆ่าเสือได้ แต่ไม่ให้ซื้อซากเสือ
ที่ตัดลิ้นเสือออกก็เพื่อป้องกันไม่ให้ใครมาขึ้นรางวัลซ้ำหลังจากซื้อเสือไปแล้ว
เมื่อพวกจินเฟิงได้เงินรางวัลมาก็ต้องไปหาผู้รับซื้อด้วยตัวเอง
ทันทีที่ลากเกวียนออกจากศาลาว่าการ ทั้งหมดก็ถูกห้อมล้อมด้วยพ่อค้าขายหนังสัตว์หลายคนที่มาหลังทราบข่าว
“เฉินเหล่าลิ่ว ไม่เลวนี่ เจ้าสามารถฆ่าเสือได้! เจ้าคิดราคาอย่างไรว่ามาเลย!”
เฉินเหล่าลิ่วมาศาลาว่าการทุกปีเพื่อนำหนังสัตว์มาขาย ผู้คนเลยจำเขาได้ทันทีที่เห็นและเริ่มเอ่ยถามราคา
การฆ่าเสือได้หนึ่งตัวนับเป็นข่าวใหญ่ในซีเหอวาน ทว่าในอำเภอจินชวนนี้มีทั้งหมดสิบหกตำบลและมีหมู่บ้านอีกหลายร้อยแห่ง เพราะพื้นที่ทั้งหมดเป็นภูเขาจึงมีเสือมากมาย ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วต่อปีจะฆ่าเสือได้สองถึงสามตัว นักล่าสัตว์ที่เคยเห็นเสือมาหลายรอบแล้วจึงพอจะประเมินราคาได้
เสือหนึ่งตัว จะมีราคาขายอยู่ที่ประมาณยี่สิบห้าก้วน
ทว่านายพรานลิ่วกลับชูนิ้วขึ้นมาสี่นิ้วแล้วกล่าวว่า “สี่สิบก้วน!”
“เฉินเหล่าลิ่ว เจ้าอย่ามาล้อพวกข้าเล่นดีกว่า เจ้าไม่รู้ราคาเสือหรืออย่างไร?”
นักล่าสัตว์ผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น
“เหล่าโจว เสือของพวกข้าเหมือนกับเสือของหมู่บ้านอื่นหรือ?”
เฉินเหล่าลิ่วเห็นฝ่ายนั้นนิ่งเงียบไปเลยเอ่ยต่อ “เสือที่พวกเขาส่งมามีร่องรอยถูกคนแทงตาย มีรูเล็กใหญ่ไปทั่วร่าง ทว่าเสือของพวกข้านั้น มีรูเล็ก ๆ อยู่ไม่กี่รูเท่านั้น อีกทั้งตัวยังใหญ่ ขนสวย เปรียบเทียบกับเสือพวกเขาแล้ว เจ้าว่าอย่างไร?”
“สี่สิบก้วนถือว่าคุ้มค่า!”
“หนังเสือดี ๆ เช่นนี้ กี่สิบปีจะเจอสักที มันไม่คุ้มหรือ? หากน้อยกว่าสี่สิบก้วนข้าไม่ขาย!”
…
หลังจากต่อรองอยู่ครึ่งชั่วยาม ในที่สุดเสือก็ถูกขายให้กับเหล่าโจวในราคา สามสิบสองก้วน
รวมกับเงินรางวัลที่ศาลาว่าการจ่ายมาให้อีกสามก้วน เสือตัวนี้จึงมีราคารวมอยู่ที่สามสิบห้าก้วน
เงินหนึ่งก้วนเท่ากับหนึ่งพันเหรียญทองแดง ดังนั้นเงินสามสิบห้าก้วนจึงต้องบรรจุใส่ถุงผ้า
เหรียญทองแดงของต้าคังมีค่ามาก หนึ่งเหรียญทองแดง สามารถซื้อซาลาเปาเนื้อได้หนึ่งชิ้น
เมื่อมีเงินจำนวนนี้ จินเฟิงก็ไม่ต้องกังวลเรื่องภาษีที่ต้องจ่ายและอาหารการกินอีก เขาจะมีกินมีใช้ไปอีกหลายปี!
“ไป ไปกินข้าว!”
เพราะมีเงินในมือ ชายหนุ่มจึงมีความมั่นใจมากขึ้น เมื่อจินเฟิงเห็นว่าฟ้าเริ่มมืดแล้ว เขาก็โบกมือด้วยท่าทางอาจหาญและเดินนำทุกคนไปหาร้านอาหาร
ตั้งแต่เช้าพวกเขาเดินทางข้ามภูเขามาเป็นระยะทางหลายสิบลี้โดยที่ยังไม่ได้กินอะไร จางเหลียงและคนอื่น ๆ ต่างก็ท้องร้องโครกครากด้วยความหิวอยู่ก่อนแล้ว
ต้าคังไม่มีกับข้าวแบบผัด อาหารหลักของที่นี่จะนึ่งและต้ม พวกเขาทั้งหมดพบโรงเตี๊ยมที่ตั้งอยู่ข้างทาง ดูแล้วสะอาดสะอ้าน แต่ละคนเลยสั่งต้มเนื้อมาคนละถ้วยตามด้วยหมั่นโถวอีกหนึ่งชุด
อาหารเหล่านี้เป็นอาหารที่ดีที่สุดในโรงเตี๊ยมแล้ว
ค่าอาหารและที่พักทั้งหมดราคาเจ็ดสิบเหรียญทองแดง จางเหลียงจึงแอบเป็นกังวลแทนจินเฟิง เพราะรู้สึกว่าชายหนุ่มกำลังใช้จ่ายอย่างล้างผลาญ
หากใช้เงินเจ็ดสิบเหรียญทองแดงนี้ไปซื้อธัญพืชหรือผักป่าบางชนิด น่าจะเพียงพอให้ครอบครัวของพวกเขาอยู่รอดไปอีกหนึ่งเดือน
ทว่าเช้าวันรุ่งขึ้น จางเหลียงก็เพิ่งเข้าใจว่าล้างผลาญที่แท้จริงคืออะไร
เพราะเมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้ามืด จินเฟิงก็ได้มอบซองแดงให้กับหัวหน้าหมู่บ้านและคนอื่น ๆ คนละซอง เมื่อจางเหลียงเปิดดูก็เห็นว่ามีเงินมากถึง สองร้อยเหรียญทองแดง
“จินเฟิง นี่มันมากเกินไป ข้าไม่กล้ารับไว้หรอก”
ซองแดงนี้หนักมาก จนแม้แต่หัวหน้าหมู่บ้านยังรู้สึกร้อนมือ
“ไม่เยอะหรอก พวกท่านทิ้งงานเพื่อมากับข้าไกลถึงที่นี่ ข้าจะปล่อยให้ทุกคนเสียแรงเปล่าได้อย่างไร?”
ชายหนุ่มกล่าวต่อ “บัณฑิตไร้ประโยชน์อย่างข้า หากไม่มีพวกท่านคงมาไม่ถึงศาลาว่าการแห่งนี้ นับประสาอะไรกับการขายเสือในราคาสูง”
คำพูดเหล่านี้ไม่ใช่เพราะว่าจินเฟิงเจียมตัว เพราะหากไม่มีนายพรานและหัวหน้าหมู่บ้านช่วยต่อรองราคา เสือตัวนี้คงขายได้ราคาต่ำกว่านี้หลายเท่าจริง ๆ
นั่นเป็นเงินหลายพันเหรียญทองแดงเชียว

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์