บทที่ 133 พวกโจรกำลังมา
ตึง! ตึง! ตึง!
เสียงกลองดังขึ้นทำลายความเงียบยามเช้าของภูเขาเถี่ยกว้าน
เนื่องจากระบบที่เสื่อมโทรมของแม่ทัพเสเพลในกองทัพต้าคัง กองกำลังจำนวนมากจึงไม่ได้รับการฝึกในตอนเช้าอีกต่อไป
หากกองกำลังทหารยังเป็นเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงพวกโจรเลยว่าจะปวกเปียกแค่ไหน
แม้แต่โจรกลุ่มใหญ่อย่างเถี่ยกว้านก็ยังไม่รู้ว่าการฝึกฝนในตอนเช้าเป็นอย่างไร ปกติพวกเขาจะนอนถึงเที่ยงวันและไม่อยากลุกขึ้นด้วยซ้ำ
“มีเรื่องอะไร? เสียงดังแต่เช้า!”
ในบ้านอิฐ ซวนจื่อ รองผู้นำกลุ่มโจรเหลือบมองแสงสลัว ๆ ที่รอยแยกของประตู และสบถอย่างฉุนเฉียว
แม้ว่าเขาจะถูกจินเฟิงทุบตีเมื่อวานนี้แต่เขาก็ได้รับรางวัลเป็นเงินและหญิงสาวถึงสองคนจากพี่ใหญ่ เขาเฝ้าบรรเลงเพลงรักถึงกลางดึกเมื่อคืนนี้ ในตอนเช้าหญิงสาวที่นอนหลับสนิทอยู่ในอ้อมแขนทั้งสองฝั่งกลับถูกปลุกด้วยเสียงกลอง นั่นทำให้เจ้าตัวรู้สึกไม่พอใจนัก
“พี่ซวนจื่อ ดูเหมือนว่าจะมีคนตีกลอง…”
หญิงสาวทั้งสองเด้งตัวขึ้นทันที หนึ่งในนั้นกระซิบ
“สะ… เสียงตีกลองหรือ?!”
ซวนจื่อที่ยังคงมึนงงรู้สึกราวกับว่ามีน้ำเย็นสาดเข้าที่ใบหน้า เขาสะดุ้งตื่นขึ้นทันที
เขารีบลุกขึ้นและกระโดดลงจากเตียง พร้อมกับสวมใส่กางเกงในไม่กี่อึดใจ รองผู้นำกลุ่มโจรทำได้แค่ถือเสื้อผ้าที่เหลือเอาไว้แล้ววิ่งออกไปทันที
การตีกลองนี้ได้รับอิทธิพลมาจากกองทัพ เมื่อเสียงกลองดังขึ้น ไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ทุกคนจะต้องไปที่สนามฝึกเพื่อรวมตัวกันโดยเร็วที่สุด
เมื่อเสียงกลองดังขึ้นถึงสามครั้ง ใครก็ตามที่ยังมาไม่ถึงจะต้องถูกจัดการ!
รูปแบบเช่นนี้ค่อนข้างคล้ายกับสัญญาณเตือนฉุกเฉินในกองทัพยุคปัจจุบัน
แต่สำหรับพวกโจร การตีกลองไม่ได้ทำเพื่อฝึกความกระตือรือร้น โดยปกติแล้วพวกเขาจะตีกลองเพื่อเรียกผู้คนเวลามีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นเท่านั้น
เมื่อซวนจื่อมาถึงสนามฝึกก็มีโจรจำนวนมากยืนอยู่ในสนามแล้ว
คนหลายคนเป็นเหมือนกับซวนจื่อ พวกเขายังคงสวมเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย
ไม่จำเป็นต้องรอให้ตีกลองถึงสามครั้ง เพราะเมื่อเสียงกลองครั้งที่สองได้ดังขึ้น กลุ่มโจรก็มารวมตัวกันที่บริเวณสนามฝึกครบแล้ว
แม้ว่าหลายคนจะอยู่ในสภาพที่ไม่พร้อม ทว่าแต่ละคนก็ถืออาวุธของตัวเองไว้ในมือเรียบร้อย
หัวหน้าโจรอย่างหลิวเจียงและพี่รองของกลุ่มโจรค่อนข้างพอใจกับความเร็วในการตอบสนองของลูกน้อง พวกเขาพยักหน้าอย่างมาดมั่น
เขาเถี่ยกว้านเป็นรังโจรที่ใหญ่เป็นอันดับสองในจินชวน และมีผู้ลี้ภัยจำนวนมากมาที่นี่ทุกปี
ตราบใดที่เขาพัฒนาต่อไป หลิวเจียงก็มั่นใจว่าอีกสองสามปี เขาจะสามารถสังหารโจรอันดับหนึ่งอย่างเฮยสุ่ยโกวและขึ้นเป็นกลุ่มโจรที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จินชวนได้
ด้วยความมั่นใจดังกล่าว หลิวเจียงจึงมอบหมายให้โจรหลายสิบชีวิตดูแลบ้าน ส่วนเขาขี่ม้าศึกพร้อมกับรองผู้นำโจรอีกสองสามคน นำโจรที่เหลือหลายร้อยชีวิตลงจากภูเขาเพื่อตรงไปยังซีเหอวาน
ไม่นานหลังจากที่พวกเขาจากไป ควันก็ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าระหว่างภูเขาซึ่งอยู่ห่างจากทางขึ้นเขาเถี่ยกว้านไม่กี่ลี้
ครู่ต่อมา ควันอีกกลุ่มหนึ่งก็ลอยขึ้นมาจากหุบเขาที่อยู่ห่างออกไปกว่าสิบลี้
ในซีเหอวาน จินเฟิงที่เพิ่งจะตื่นขึ้นเห็นจางเหลียงรีบวิ่งเข้ามาในลานบ้าน
“เสี่ยวเฟิง มีกลุ่มควันสีดำลอยขึ้นมาเหนือเหย่หูหลิ่ง*[1] หมายความว่าพวกโจรทั้งหมดลงมาจากภูเขาเถี่ยกว้านแล้ว”
จางเหลียงกล่าวอย่างกังวลใจ
ในวันที่โรงงานสิ่งทอหยุดการทำงาน จินเฟิงได้ส่งทหารผ่านศึกหลายคนไปซ่อนตัวบนภูเขาเพื่อเฝ้าดูลาดเลาที่เขาเถี่ยกว้าน
ยุคสมัยนี้ไม่มีโทรศัพท์มือถือ จินเฟิงจึงใช้สัญญาณควันเพื่อส่งข้อความให้ทันท่วงที
“พวกเขาก็แค่เคลื่อนกำลังพล ต้องใช้เวลาหลายชั่วยามกว่าคนหลายร้อยชีวิตจะเดินจากเขาเถี่ยกว้านมาถึงซีเหอวาน เหตุใดพี่เหลียงจึงตื่นตระหนกเช่นนั้น?”
จินเฟิงหยิบก้านต้นหลิวที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษพร้อมกับจุ่มลงในเกลืออย่างไม่ใส่ใจนัก เขาเอ่ยถามในขณะที่แปรงฟันไปด้วย “ทางเข้าหมู่บ้านพร้อมหรือยัง?”
“พร้อม!” จางเหลียงพยักหน้า
“แล้วท่านกังวลสิ่งใด? แค่รอให้พวกเขามาก็พอ”
บัณฑิตหนุ่มบ้วนปากทิ้งแล้วพูดต่อ “พี่เหลียง กินข้าวหรือยัง? มากินด้วยกันสิ”
บางทีอาจเป็นเพราะความสงบของจินเฟิง ใบหน้าของจางเหลียงที่เป็นกังวลจึงค่อย ๆ เลือนหายไป เขาโบกมือด้วยรอยยิ้ม
“ที่บ้านข้าก็เตรียมกับข้าวไว้แล้ว ไว้เดี๋ยวข้ากลับไปกิน”
แต่หลังจากออกไป จางเหลียงก็หันไปทางภูเขาด้านหลัง
เห็นได้ชัดว่าเขายังคงกังวลอยู่และวางแผนที่จะไปที่ภูเขาด้านหลังเพื่อจัดเตรียมกองทหารผ่านศึก
เมื่อจางเหลียงจากไป กวานเสี่ยวโหรว ถังตงตง และรุ่นเหนียงก็ออกมาจากครัว
“สามี พวกโจรกำลังมาหรือ?”
กวานเสี่ยวโหรวถามอย่างร้อนใจ
จินเฟิงยื่นมือออกมาแล้วลูบศีรษะถังตงตงบ้าง “ไปยกถ้วยข้าวมาให้ข้าที กินข้าวเสร็จแล้วข้ายังมีงานที่ต้องทำต่อ”
ถังตงตงเคยชินกับสิ่งนี้แล้ว นางจึงเดินไปยังห้องครัวและนำโจ๊กข้าวขาวพร้อมเครื่องเคียงสองจานมาให้ชายหนุ่ม
รุ่นเหนียงตื่นเช้ามาทำโจ๊กข้าวขาวตั้งแต่เช้าตรู่ โจ๊กมีทั้งความข้นและนุ่ม กำลังอุ่น ๆ พอดี
โจ๊กมาพร้อมกับเครื่องเคียงที่สดชื่นช่วยกระตุ้นความอยากอาหารของจินเฟิงได้เป็นอย่างมาก ทำให้เขากินข้าวไปถึงสองถ้วย
ในเวลานี้ ข่าวที่ว่าพวกโจรกำลังมาก็แพร่สะพัดจนทำให้ทั้งหมู่บ้านตกอยู่ในความโกลาหล
ไม่มีใครบ่นเกี่ยวกับจินเฟิงอีกต่อไป ชาวบ้านรีบไปซ่อนตัวอยู่ในภูเขาด้านหลังโดยเร็ว ต่างคนต่างแบกของมีค่าไว้บนหลัง
ขณะที่จินเฟิงเอาแต่กินข้าวเช้าแสนอร่อยกำลังจะออกไปดูสถานการณ์ ชิ่งมู่หลานก็รีบบุกเข้ามาในลานบ้านอย่างเร่งรีบเสียก่อน
“ท่านอาจารย์ ทุกคนในหมู่บ้านบอกว่ามีโจรกำลังมา นั่นเป็นเรื่องจริงหรือไม่?”
ชิ่งมู่หลานเอ่ยถาม
คนที่ไม่รู้คงคิดว่านางก็เป็นหนึ่งในผู้ที่จะมาเป็นอนุภรรยาของบัณฑิตหนุ่ม
“ใช่” จินเฟิงพยักหน้า “เจ้าเตรียมพร้อมแล้วหรือยัง?”
ก่อนที่จะลงสนามรบทหารหลายคนจะตื่นเต้นพอ ๆ กับชิ่งมู่หลาน พวกเขามักจะคิดว่าตนเป็นลูกรักของสวรรค์ ถึงได้มีโอกาสทำเรื่องดี ๆ เช่นนี้
แต่หลังจากได้เห็นความโหดร้ายของสนามรบแล้ว หลายคนจะหวาดกลัวกับฉากนองเลือด
เขากังวลมากว่าชิ่งมู่หลานจะเป็นคนประเภทพูดอย่างทำอย่าง ดีแต่อวดเก่งแต่ไร้ซึ่งความสามารถ
“ข้าเตรียมพร้อมมาตั้งนานแล้ว!”
ชิ่งมู่หลานถือดาบสีดำทมิฬไว้ในมือ พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นที่แฝงไปด้วยความตื่นเต้น
“เช่นนั้นก็ดี ไปหาพี่เหลียงแล้วเตรียมกองกำลังของเจ้าให้พร้อมเถิด”
“ข้าจะไม่ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวัง”
ชิ่งมู่หลานกำหมัดของนางอย่างมั่นใจ จากนั้นก็หันหลังกลับแล้ววิ่งออกไป
เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นถึงกลางศีรษะ จางเหลียงก็วิ่งไปที่ประตูโรงหลอมเหล็กและแจ้งให้จินเฟิงทราบว่าพวกโจรอยู่ห่างออกไปเพียงสามลี้เท่านั้น
“ในที่สุดก็มาถึง!”
จินเฟิงวางเครื่องมือที่ถืออยู่ลงแล้วยืดอกขึ้น…

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์