เข้าสู่ระบบผ่าน

ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์ นิยาย บท 140

บทที่ 140 หอสังเกตการณ์

การถูกปิดล้อมเป็นปัญหาที่ยากที่สุดในสงคราม โดยส่วนใหญ่ทำได้เพียงพึ่งพาทหารให้ออกไปเสี่ยงชีวิตเท่านั้น

ไม่เพียงเจิ้งฟางเท่านั้น แต่ยังรวมถึงจางเหลียงและชิ่งมู่หลานด้วยที่เงยหน้าขึ้นมองจินเฟิง เพราะทุกคนต่างก็อยากรู้ว่าบัณฑิตหนุ่มจะแก้ปัญหานี้อย่างไร

จินเฟิงไม่ตอบ เขาเอาแต่ขมวดคิ้วและมองดูพื้นที่รอบ ๆ สักพักแล้วถามว่า “ตอนนี้ข้อได้เปรียบที่ใหญ่ที่สุดของพวกโจรคือสิ่งใด?”

“ตอนนี้ข้อได้เปรียบที่ใหญ่ที่สุดของพวกโจรคือพวกเขามีกำแพงเมืองที่แข็งแกร่งทำให้สามารถโจมตีเราได้ แต่เราไม่สามารถโจมตีพวกเขาได้”

ชิ่งมู่หลานตอบกลับ

“จะเป็นอย่างไรหากเรายืนอยู่สูงกว่าพวกเขา” จินเฟิงถาม

“ถ้าเป็นเช่นนั้นสถานการณ์ก็จะตรงกันข้าม!” ดวงตาของชิ่งมู่หลานเป็นประกาย “แต่กำแพงเมืองนี้สูงเกือบสองจั้ง เราจะอยู่สูงกว่านี้ได้อย่างไร?”

“อย่าย้อนถามข้า เจ้าลองใช้สติปัญญาของเจ้าขบคิดดู”

ชิ่งมู่หลานรู้ว่าจินเฟิงกำลังทดสอบนาง นางจึงคิดอยู่พักหนึ่งแล้วตอบ “สิ่งเดียวที่จะทำให้เราอยู่สูงกว่ากำแพงเมืองได้คือบันได”

วิธีการแก้ปัญหาดังกล่าวเป็นที่นิยมในยุคนี้

ทหารจะรีบวิ่งไปที่ด้านล่างของกำแพงเมืองโดยพาดบันไดเอาไว้ จากนั้นก็ปีนขึ้นไป

“แต่การใช้บันไดปีนขึ้นไปเป็นการเสี่ยงชีวิตเช่นกัน พวกโจรอาจรออยู่ด้านบนพร้อมหอกยาวในมือที่ใช้สำหรับแทงผู้บุกรุกจนตาย”

จินเฟิงส่ายหัว “เกรงว่าต่อให้ทุกคนจะเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่ก็ยังไม่สามารถบุกเข้าไปได้”

“ถ้าเช่นนั้นก็ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้แล้ว…”

ชิ่งมู่หลานเกาศีรษะและตอบอย่างเก้อเขิน

“เฮ้อ…”

จินเฟิงถอนหายใจและสั่งการ “เหล่าเจิ้ง นำกำลังคนไปตัดต้นไม้มาสองสามต้น ขอเป็นต้นไม้ที่ไม่หนาเกินไปและต้องสูงเกินสองจั้งครึ่ง”

“รับทราบ!”

แม้ว่าเจิ้งฟางจะไม่รู้ว่าเหตุใดจินเฟิงถึงคิดจะตัดต้นไม้ แต่เขาก็ยังเลือกที่จะทำตามคำสั่งและหันกลับไปหาคนเพื่อสั่งการ

“พี่เหลียง พี่ไปหากิ่งไม้ที่หนาเท่าแขนแล้วตัดด้วยความยาวหนึ่งจั้ง ยิ่งได้มากเท่าไรยิ่งดี”

“ได้!”

จางเหลียงก็เริ่มกระตือรือร้นขึ้นมา

ไม่ช้า กิ่งก้านทุกขนาดก็กองอยู่บนพื้น

เมื่อนึกถึงหอสังเกตการณ์ของราชวงศ์ซ่งและนั่งร้านในไซต์ก่อสร้างยุคหลัง จินเฟิงก็ได้สั่งให้ทหารผ่านศึกใช้ลวดยึดกิ่งไม้ที่มีขนาดแตกต่างเข้าด้วยกันเพื่อสร้างหอสังเกตการณ์เคลื่อนที่แบบเรียบง่าย

หอสังเกตการณ์นี้มีล้ออยู่ด้านล่าง แต่เนื่องจากข้อจำกัดด้านเวลา จินเฟิงจึงไม่ได้ทำล้อ เขาสร้างแท่นให้สูงกว่าสองจั้ง

มองดูภายนอกมันคล้ายกับนั่งร้านธรรมดา แต่จินเฟิงได้สร้างแผงป้องกันเป็นชั้น ๆ บริเวณด้านที่หันหน้าไปทางพวกโจร รอบ ๆ แท่นจะมีกิ่งก้านหนาเท่ากับแขนเด็กป้องกันลูกธนูอยู่

และมีการใช้โคลนเปียกเพื่อป้องกันการโจมตีจากไฟในด้านนี้ด้วย

หอสังเกตการณ์มีความยาวหนึ่งจั้งกว้างหนึ่งจั้งและสูงสองจั้งครึ่ง ทำจากไม้เปียกชื้นที่เพิ่งโดนตัด มันมีน้ำหนักมากกว่าสองพันจิน ต้องใช้ทหารผ่านศึกมากกว่าสามสิบคนยกมันขึ้นและนำมันเข้าใกล้กำแพงหินของพวกโจรอย่างช้า ๆ

เมื่อพวกโจรเห็นสิ่งประดิษฐ์ขนาดใหญ่ดังกล่าวเข้ามาใกล้ พวกเขาก็ตื่นตัวและโจมตีหอสังเกตการณ์ด้วยธนูหรือก้อนหินทันที

และเป็นเพราะมีแผงป้องกันแน่นหนาในด้านที่หันเข้าหาพวกโจร บวกกับมีทหารผ่านศึกที่ถือโล่ป้องกันอยู่ทำให้ลูกธนูและก้อนหินไม่สามารถทะลุโล่ป้องกันไปได้

โจรบางคนต้องการใช้น้ำมันตะเกียงโจมตีศัตรู แต่น่าเสียดายที่วิธีหลัก ๆ ในการใช้น้ำมันตะเกียงกับต่อสู้ในเวลานี้ คือการใช้หม้อใบใหญ่อุ่นน้ำมันตะเกียงให้ร้อน เมื่อศัตรูโจมตีก็ใช้ทัพพีตักน้ำมันราดลงไปข้างล่าง นับเป็นการโจมตีที่สามารถกระจายเป็นวงกว้าง ถือว่าเป็นวิธีที่ได้ผลลัพธ์ยอดเยี่ยม

แต่ตอนนี้น้ำมันตะเกียงที่พวกโจรเตรียมไว้ถูกบรรจุอยู่ในโหลขนาดใหญ่และไม่มีใครทันได้ใช้มัน

ตอนนี้มาตรการป้องกันไฟที่จินเฟิงเตรียมไว้ยังไม่ถูกใช้ และพวกโจรทำได้เพียงเฝ้าดูหอสังเกตการณ์เคลื่อนเข้ามาใกล้ช้า ๆ ในที่สุดสิ่งประดิษฐ์แปลกประหลาดนั่นก็หยุดอยู่ห่างจากกำแพงหินเพียงห้าจั้ง

ทหารผ่านศึกจับเข้าที่ท่อนไม้แล้วปีนขึ้นไปบนแท่นหอสังเกตการณ์

ก่อนหน้านี้พวกโจรยืนอยู่ด้านบน ซ่อนตัวอยู่หลังเชิงเทียนของกำแพงเมืองและยิงทะลุช่องที่สงวนไว้ ทหารผ่านศึกไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโจรซ่อนตัวอยู่ที่ไหนและไม่สามารถเข้าใกล้กำแพงเมืองได้ พวกเขาจึงทำได้แค่อดทนจากการถูกโจมตีเท่านั้น

ตอนนี้สถานการณ์พลิกกลับแล้ว แท่นนี้สูงกว่ากำแพงเมืองเกือบจั้ง สามารถมองเห็นกลุ่มโจรที่ซ่อนตัวได้ง่าย แต่กลุ่มโจรไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนนักว่าทหารผ่านศึกซ่อนตัวอยู่ที่ใด

ซวนจื่อทิ้งอาวุธอย่างเชื่อฟังและสั่งให้โจรคนหนึ่งไปเปิดประตู

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ประตูไม้หนัก ๆ ก็ถูกเปิดออกจากด้านใน

เจิ้งฟางรีบวิ่งเข้าไปพร้อมกับกลุ่มทหารผ่านศึก อันดับแรกเขาล้มพวกโจรที่เปิดประตูแล้วปีนขึ้นไปบนกำแพงเมือง ทหารผ่านศึกบางส่วนมัดโจรที่เหลือทั้งหมด ในขณะที่คนอื่น ๆ ถือหน้าไม้และยึดจุดโจมตีที่ดีที่สุดเอาไว้

จากนั้นจินเฟิงก็นำจางเหลียงและชิ่งมู่หลานเข้าไปด้านใน

เมื่อซวนจื่อลงมาจากกำแพงเมืองและเห็นจินเฟิง เขาก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นแล้วเอ่ยถาม “เหตุใดถึงเป็นเจ้า?”

จนถึงตอนนี้ รองผู้นำกลุ่มโจรยังสงสัยว่าใครคือคนที่โจมตีพวกเขา

เขาคิดถึงทหารท้องถิ่นและโจรกลุ่มอื่น แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นจินเฟิงกับพวก

เขาคิดว่าจินเฟิงถูกพี่ใหญ่ของเขาฆ่าไปแล้ว แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นอีกฝ่ายจะมาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร?

เป็นไปได้หรือไม่ที่จินเฟิงมาที่เขาเถี่ยกว้านเพื่อยอมรับความผิดพลาดของตนเองและเจรจากับพี่ใหญ่?

“อ้าว คนคุ้นหน้ากันนี่เอง?”

จินเฟิงยังมองไปที่ซวนจื่อด้วยท่าทางยียวน

“จินเฟิง ข้าจะบอกอะไรเจ้าให้ว่าพี่ใหญ่ของข้าได้นำกำลังคนไปที่ซีเหอวานแล้ว เจ้าควรปล่อยข้าไปโดยเร็ว ไม่เช่นนั้นเมื่อพี่ใหญ่กลับมา เขาจะไม่ไว้ชีวิตเจ้าแน่!”

ซวนจื่อใช้โอกาสครั้งสุดท้ายตะโกนออกมาอย่างไม่ยอมแพ้

“พี่ใหญ่ของเจ้าคงกลับมาไม่ได้แล้วล่ะ”

จินเฟิงยิ้มและหยิบป้ายไม้ออกมาพร้อมโบกมือต่อหน้ารองผู้นำกลุ่มโจร “จากนี้ไป ข้าจะขึ้นเป็นผู้นำแห่งเขาเถี่ยกว้าน!”

ซวนจื่อมองดูป้ายไม้เล็ก ๆ และความหวังสุดท้ายในใจก็พังทลายลง

เขากลอกตาพร้อมคุกเข่าลงบนพื้นเสียงดังตึง

“ข้าน้อยซวนจื่อทำความเคารพท่านหัวหน้าใหญ่! หัวหน้า ข้าน้อยผู้นี้รู้ว่าสมบัติของหลิวเจียงซ่อนอยู่ที่ใด ข้าเต็มใจที่จะนำทาง!”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์