บทที่ 142 คนน่าสงสาร
หากจินเฟิงต้องการรับอนุภรรยา หญิงสาวจำนวนมากในซีเหอวานและกวานเจียวานต่างก็รอให้เขามาขอ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องไปสรรหาหญิงที่ถูกดักฉุด
เมื่อเห็นว่าเป็นแบบนี้บัณฑิตหนุ่มก็รู้สึกโกรธ
“ที่คอกม้านั่น พี่ใหญ่ตามข้ามา!”
ซวนจื่อปีนขึ้นไปด้านบนแล้วชี้ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ
ทางตะวันตกเฉียงเหนือของที่ราบมีบ้านไม้เตี้ย ๆ เรียงกันอยู่ข้างคอกม้า
ทหารผ่านศึกเพิ่งค้นบ้านที่ก่อด้วยอิฐแต่ยังไม่ได้ค้นที่อื่น ๆ พวกเขาไม่คาดคิดว่าจะมีคนจำนวนมากซ่อนตัวอยู่ในบ้านไม้ที่เรียบง่ายเช่นนี้
เมื่อจินเฟิงเปิดประตูบ้านไม้หลังหนึ่ง เขาก็แทบจะอาเจียนออกมา
เขาเห็นหญิงสาวสิบกว่าคนอัดแน่นกันอยู่ในห้องเล็ก ๆ ขนาดราว ๆ สองผิง
พวกนางจะกิน ดื่ม และทำทุกอย่างในห้องนี้ เรื่องกลิ่นก็เกินกว่าจะจินตนาการได้
เสื้อผ้าของหญิงสาวส่วนใหญ่ขาดรุ่ยเกินกว่าจะคลุมร่างกายมิดชิด และบางคนก็ถึงขั้นเปลือยเปล่า
หลายคนมีดวงตาหมองคล้ำและนอนราบกับพื้นโดยไม่ขยับเขยื้อน มีเพียงสองคนเท่านั้นที่มองมาที่ประตู
“หลิวเจียงสมควรตาย!”
ชิ่งมู่หลานกัดฟันพูด
ถ้าหลิวเจียงอยู่ที่นี่ นางคงจะใช้ดาบฟันเขาอย่างแน่นอน
อีกห้าห้องถัดไปก็เป็นแบบนี้เช่นเดียวกัน
ทว่าในห้องที่หก กลับมีบรรยากาศที่แตกต่างออกไป
หญิงสาวหลายสิบชีวิตที่ถูกขังอยู่ในห้องนี้ล้วนแต่งตัวเรียบร้อย แต่เมื่อเห็นใครบางคนเปิดประตูเข้ามา พวกนางทั้งหมดก็ย่อตัวลงและไปแอบอยู่ที่มุมห้องด้วยความหวาดกลัว
พวกนางน่าจะเป็นสตรีกลุ่มใหม่ที่เพิ่งถูกพาตัวมาที่นี่
“ท่านอาจารย์ เจ้าจะจัดการกับพวกนางอย่างไร?” ชิ่งมู่หลานกระซิบถาม
ตั้งแต่นางเกิดมา นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นฉากที่น่าสังเวชเช่นนี้
เมื่อเผชิญหน้ากับฉากนองเลือดในลานนวดข้าว ชิ่งมู่หลานสามารถบังคับตัวเองให้ไร้ความรู้สึกได้ แต่ในขณะนี้ ถาพตรงหน้าทำให้น้ำตาของนางไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
“มู่หลาน เจ้าและอาเหมยเป็นหญิง ไปสื่อสารกับพวกนางแล้วปล่อยพวกนางกลับบ้านไปเถิด” จินเฟิงกล่าว
“ได้!”
ชิ่งมู่หลานพยักหน้าและพาอาเหมยเข้าไปในบ้านไม้หลังหนึ่ง
“ต้าจ้วง เจ้านำคนจากหมู่หนึ่งคอยอยู่ปกป้องมู่หลานและอาเหมย แล้วให้คนอื่น ๆ ไปค้นส่วนที่เหลือ”
จินเฟิงเองก็รู้สึกไม่สบายใจ เขาหันหลังกลับไปพร้อมกับทหารผ่านศึก
โกดัง โรงอาหาร และกระท่อมมุงจากที่พวกโจรอาศัยอยู่ล้วนเป็นที่โล่ง ๆ เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็จะเห็นผู้คนได้ในทันที ดังนั้นการค้นหาจึงเป็นไปอย่างรวดเร็ว และฟางเหลยก็ใช้เวลาในการพาเหล่าทหารผ่านศึกตรวจค้นเพียงสองเค่อเท่านั้น
มีสตรีเพียงไม่กี่คนที่กำลังทำอาหารอยู่ในโรงอาหาร
“โชคดีที่ท่านอาจารย์ไม่ได้เลือกปิดล้อมที่นี่ ไม่เช่นนั้นกว่าคนพวกนี้จะอดตายเราคงต้องรอเป็นเวลาสามปี”
ฟางเหลยพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านอาจารย์คงไม่รู้ว่าโกดังเหล่านั้นเต็มไปด้วยธัญพืชมหาศาล มากกว่าตอนที่กองทัพของเถี่ยหลินเพิ่งเติมเสบียงเสียอีก”
“ก่อนที่หลิวเจียงจะเข้ามายึดครองสถานที่แห่งนี้ ทหารท้องถิ่นเคยมาปิดล้อมภูเขาเถี่ยกว้าน หลิวเจียงจะเก็บส่วยข้าวทุกปีและขายเมล็ดพืชเก่าเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกปิดล้อม”
ซวนจื่อกล่าวว่า “หลิวเจียงเคยบอกข้าว่า เสบียงบนภูเขานั้นเพียงพอสำหรับให้เราทุกคนกินได้เป็นเวลาสามปี”
“ดูเหมือนว่าเราจะไม่ต้องซื้ออาหารเป็นเวลานาน”
ในที่สุดจินเฟิงก็เผยรอยยิ้มออกมา
เนื่องจากขาดแคลนแรงงาน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาต้าคังจึงมีธัญพืชไม่เพียงพอ แม้ว่าจะมีเงิน แต่บางครั้งก็ยากที่จะซื้อธัญพืชได้ในปริมาณมาก
โชคดีที่ซีเหอวานและกวานเจียวานเองก็ทำไร่ทำนาจึงสามารถซื้อธัญพืชบางอย่างได้ ไม่เช่นนั้นโรงงานสิ่งทอก็คงมีเสบียงไม่เพียงพอเช่นกัน
“ไปดูกันว่าหลิวเจียงเหลืออะไรไว้บ้างนอกจากอาหาร”
จินเฟิงหันหลังกลับและเดินไปที่บ้านของหัวหน้าใหญ่ของกลุ่มโจรเขาเถี่ยกว้าน
เมื่อพวกเขามาถึงประตู สตรีคนนั้นก็คุกเข่าอยู่บนพื้นและจ้องมองไปที่จินเฟิงอย่างเอาเรื่อง หากการจ้องมองสามารถทำลายใครได้ ร่างกายของจินเฟิงคงพรุนเป็นรู
“หากเจ้าจ้องมองต่อไป ข้าจะควักลูกตาของเจ้าทิ้งเสีย!”
ฟางเหลยถีบเข้าที่ไหล่สตรีตรงหน้า
จินเฟิงเองก็ไม่ได้หยุดการกระทำของเขา
ในที่สุดก็พบตั๋วเงินหลายปึก
ฟางเหลยรีบนับอย่างรวดเร็วและพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านอาจารย์ มีทองคำสองร้อยตำลึงเงิน ตั๋วเงินอีกสามพันตำลึงเงิน พร้อมด้วยหยกและอัญมณีต่าง ๆ อีกมากมาย”
“ดูเหมือนว่านี่จะเป็นขุมสมบัติของหลิวเจียง”
จินเฟิงยกยิ้ม
ช่วงนี้เขาไม่เพียงแต่ต้องสร้างโรงงานเท่านั้น แต่ยังต้องดูแลการกินการอยู่ของผู้คนจำนวนมากอีกด้วย ที่สำคัญที่สุดคือเขาต้องซื้อแร่จำนวนมากเพื่อผลิตเหล็ก เงินที่จินเฟิงนำกลับมาจากเมืองเว่ยโจวก็เกือบจะหมดเต็มทีแล้ว
ในขณะที่เขากำลังกังวลก็ได้รับโชคลาภมาอย่างไม่คาดคิด
อัตราการแลกเปลี่ยนทองคำและเงินในปัจจุบันคือสิบต่อหนึ่ง ทองคำสองร้อยตำลึงเงินเท่ากับเงินสองพันตำลึงเงิน
เมื่อรวมตั๋วเงินสามพันตำลึงเงินเข้ากับหนึ่งพันตำลึงเงินที่พบก่อนหน้านี้ ทำให้จินเฟิงมีเงินมากพอที่จะเอาไว้ใช้จ่าย
“ไม่แปลกใจเลยที่คนจำนวนมากจะเต็มใจผันตัวมาเป็นโจร ที่แท้การปล้นก็ทำเงินได้รวดเร็วเช่นนี้”
บัณฑิตหนุ่มอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
ด้วยขนาดของโรงงานสิ่งทอในปัจจุบัน ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลากี่ปีจึงจะทำเงินได้หลายพันตำลึงเงิน
ใครจะไปรู้ว่าเขาจะใช้เวลาเพียงวันเดียวปล้นกลุ่มโจรเขาเถี่ยกว้านและหาเงินจำนวนมหาศาลนี้ได้
จินเฟิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น เมื่อเขาคิดว่ายังมีกลุ่มโจรหลายกลุ่มทั้งใหญ่และเล็กในอำเภอจินชวน
แต่เขาก็ทำได้เพียงคิดในใจ
โชคดีมากที่ครั้งนี้จินเฟิงสามารถจัดการโจรเขาเถี่ยกว้านได้ เพราะหลังจากการต่อสู้ในครั้งนี้ โจรกลุ่มอื่นจะรู้จักชื่อเสียงของซีเหอวาน และจะไม่มีวันมารังแกพวกเขาอีก
หากมีการต่อสู้กันอีกครั้ง แน่นอนว่ามันคงไม่ง่ายเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว
เขาควรใช้สิ่งที่ได้มาในครั้งนี้พัฒนากิจการเพื่อความมั่นคงในระยะยาว
ขณะที่ชายหนุ่มกำลังคิดเรื่องนี้ ชิ่งมู่หลานก็เดินเข้ามาพร้อมกับอาเหมย
“ท่านอาจารย์ สตรีเหล่านั้นไม่อยากกลับบ้านจะทำอย่างไรดี?”
“เพราะเหตุใด?”
จินเฟิงขมวดคิ้ว

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์