บทที่ 145 ระมัดระวังตัว
“แม่นางมู่หลาน ไม่มีใครรังแกพวกนางหรอก!”
ฟางเหลยพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ท่านอาจารย์กำชับแล้วว่าห้ามผู้ใดรังแกพวกนาง พวกข้าจะกล้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร?”
“หากไม่มีใครรังแก แล้วพวกนางร้องไห้ทำไม”
“ข้าก็มิอาจรู้ได้”
ฟางเหลยเอ่ยออกมาราวกับไม่ได้รับความเป็นธรรม “เมื่อครู่ยังดี ๆ อยู่เลย แต่จู่ ๆ พวกนางก็ร้องไห้ออก มาเสียอย่างนั้น”
“ท่านอาจารย์ พี่เหลียง พวกข้าไม่ได้รังแกพวกนางจริง ๆ”
เจิ้งฟางเดินออกมาและพูดว่า “ข้าเองก็คอยดูอยู่ สหายของเราไม่มีใครพูดอะไรรุนแรงด้วยซ้ำ”
“หว่านเหนียง บอกข้าทีว่ามันเกิดอะไรขึ้น?”
ชิ่งมู่หลานเรียกหญิงสาวในวัยยี่สิบต้น ๆ ออกมาจากฝูงชน “ท่านอาจารย์จินไม่ใช่โจร เขาเป็นบัณฑิต และเป็นผู้ที่มีเหตุผลที่สุด หากถูกคนเหล่านี้รังแกเจ้าก็แค่บอกเขาไป แล้วท่านอาจารย์จินจะช่วยเจ้าจัดการคนผู้นั้นอย่างแน่นอน”
หญิงสาวคนหนึ่งนามว่าหว่านเหนียงอายุมากกว่าคนอื่นหน่อย ในตอนแรกนางเคยชินกับการอยู่บ้านเพื่อดูแลน้องชายน้องสาวของนาง แต่หลังจากนางถูกขายให้กับเขาเถี่ยกว้าน นางก็พยายามดูแลเด็กหญิงคนอื่นอย่างเต็มที่ ดังนั้นนางจึงได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่ม กล่าวได้ว่านางคือผู้นำของสตรีเหล่านี้
“พวกพี่ชายไม่ได้รังแกพวกข้า และพวกเขาก็คอยถามไถ่ตลอดว่าพวกข้ากินอิ่มหรือไม่”
หว่านเหนียงปาดน้ำตา “พวกข้า… ตั้งแต่พวกข้ามาถึงที่นี่ พวกข้าไม่เคยอิ่มท้องแม้แต่ครั้งเดียว… เมื่อพี่สาวน้องสาวเหล่านี้เริ่มเห็นแสงสว่างก็เลยอดนึกถึงเรื่องเศร้าที่ผ่านมาไม่ได้”
“พี่สาว ข้ารู้ว่าเจ้ารู้สึกอย่างไร เพราะก่อนที่ข้าจะได้พบกับสามีของข้า ข้าก็รู้สึกว่าข้าอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว ข้าคิดที่จะแสวงหาความตายมากกว่าหนึ่งครั้ง แต่เมื่อได้พบกับสามี…”
กวานเสี่ยวโหรวจับมือหว่านเหนียงและพูดคุยเกี่ยวกับอดีตของนางเบา ๆ
ต้องบอกว่ากวานเสี่ยวโหรวปลอบใจผู้คนได้ดีกว่าชิ่งมู่หลานที่มีนิสัยแข็งกร้าว ทำให้หญิงสาวที่อยู่โดยรอบเริ่มหยุดสะอื้นและเข้ามาล้อมรอบราวกับว่าพวกนางกำลังตั้งใจฟังเรื่องเล่าที่กวานเสี่ยวโหรวกำลังเอ่ย
ถึงแม้ว่าจินเฟิงจะเป็นคนไร้ยางอาย แต่เมื่อเขาได้รับคำชมเชยเช่นนี้ก็ทำให้เขารู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย
เขาเอามือลูบจมูกอย่างเงอะงะจากนั้นก็หันหลังกลับไปกินข้าวต่อ
ถังตงตงและชิ่งมู่หลานมองหน้ากัน จากนั้นก็ปิดปากและหัวเราะเบา ๆ
ด้วยการปลอบใจของกวานเสี่ยวโหรว ในที่สุดบรรดาหญิงสาวก็สงบลง ชิ่งมู่หลานได้จัดทหารหญิงมาเฝ้าที่หน้าประตูห้องน้ำ เพื่อให้พวกนางทุกคนเข้าไปอาบน้ำ จากนั้นก็เปลี่ยนมาสวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาด และย้ายเข้าไปอยู่ในกระท่อมมุงจากที่พวกโจรเคยอาศัยอยู่มาก่อน
แม้ว่าสภาพของกระท่อมมุงจากจะไม่ได้ดีนัก แต่ก็ดีกว่ากระท่อมที่พวกนางเคยอยู่เมื่อก่อนมาก
จินเฟิงพักอยู่ที่บ้านหลังเล็ก ๆ ของหลิวเจียง ในตอนกลางคืนหลังจากที่เขาอาบน้ำแล้ว เขาก็นอนบนเก้าอี้หวายในลานเล็ก ๆ เพื่อรอกวานเสี่ยวโหรว
แต่กว่าที่กวานเสี่ยวโหรวจะกลับมา เขาก็รอนานจนเกือบจะหลับไป
“จัดการธุระเสร็จแล้วหรือ?”
จินเฟิงลุกขึ้นนั่งและรินน้ำให้ภรรยาหนึ่งถ้วย
“สามี ข้าขอโทษนะ ข้ายุ่งจนเวลาล่วงเลย กว่าจะกลับมาก็ค่ำมืดเสียแล้ว…”
กวานเสี่ยวโหรวแสดงท่าทางราวกับเป็นเด็กที่ทำผิด นางก้มศีรษะลงพร้อมเอ่ยขอโทษ
“ไม่เป็นไร โชคดีที่วันนี้เจ้ามาที่นี่ ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่รู้ว่าจะจัดการกับพวกนางอย่างไร”
จินเฟิงดึงกวานเสี่ยวโหรวเข้ามาในอ้อมแขนของเขา “เหนื่อยหน่อยนะ”
“ไม่เหนื่อยหรอก” กวานเสี่ยวโหรวเกาะบ่าของจินเฟิงเอาไว้และบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ “หญิงสาวเหล่านี้น่าสงสารมาก น่าสงสารเสียยิ่งกว่าข้าเมื่อก่อนด้วยซ้ำ… สามี เจ้าใจดีมากเลย”
“ไปกินอะไรมาหรือ? วันนี้เจ้าถึงได้พูดจาหวานหูนัก?”
จินเฟิงอุ้มกวานเสี่ยวโหรวขึ้นและพูดติดตลกด้วยรอยยิ้ม
กวานเสี่ยวโหรวไม่ตอบแต่เป็นฝ่ายเริ่มที่จะประทับรอยจูบให้แก่เขาก่อน
โดยปกติแล้วกวานเสี่ยวโหรวจะขี้อายมากและเป็นเรื่องยากสำหรับนางที่จะเป็นฝ่ายเริ่มทำแบบนี้ จินเฟิงจึงไม่ปล่อยโอกาสที่ดีเช่นนี้ให้หลุดลอยไป เขาอุ้มนางไปที่ห้องนอนทันที
…
เช้าวันรุ่งขึ้น จินเฟิงถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยเสียงปลุกใจของทหารผ่านศึก
กวานเสี่ยวโหรวที่เคยนอนอยู่เคียงข้างเขาเมื่อคืนก็ได้หายตัวไปแล้วเช่นกัน
หลังกินอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย จินเฟิงไปหาจางเหลียงและเจิ้งฟาง
จางเหลียงตะโกนเสียงเข้ม และทหารผ่านศึกทุกคนก็ชักดาบออกมาทันทีพร้อมตั้งท่าโจมตี
จินเฟิงเองก็ขมวดคิ้วเเช่นกัน
ในเวลานี้ทหารผ่านศึกส่วนใหญ่ได้ถูกเขาพาตัวออกไป หากมีโจรกลุ่มอื่นใช้โอกาสนี้สร้างปัญหา ทหารผ่านศึกและทหารหญิงที่ทิ้งไว้เบื้องหลังอาจไม่สามารถจัดการกับมันได้
“เถี่ยฉุย เจ้าพาคนไปดูเร็ว”
จางเหลียงตะโกนอีกครั้ง และทหารผ่านศึกหกนายก็รีบออกจากขบวนทันทีและขึ้นไปบนหลังม้า
ไม่นานนักทหารผ่านศึกคนหนึ่งก็กลับมา “ท่านอาจารย์ พี่เหลียง ทางอำเภอพาอู่จั้วมาและกำลังชันสูตรพลิกศพ”
“การชันสูตรพลิกศพก็คือการชันสูตรพลิกศพ มีเรื่องอะไรต้องทะเลาะกัน” จางเหลียงถาม
“อู่จั้วบอกว่าวิธีการของเราโหดร้ายเกินไป และเป็นการยากสำหรับเขาที่จะทำการชันสูตรพลิกศพ เขาบอกว่าเราทุกคนต่างก็เป็นปีศาจร้าย พี่เถี่ยจือไม่สามารถทนฟังได้จึงได้มีปากเสียงกับพวกเขา”
ทหารผ่านศึกกล่าวว่า “แต่เมื่อได้ยินว่าท่านอาจารย์กลับมา พี่เถี่ยจื่อจึงหยุดโต้เถียงกับพวกเขา”
หลิวเถี่ยวิ่งไปหาจินเฟิงแต่ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับสิ่งที่ตนเองทำ เขาเข้าไปกระซิบจินเฟิงเบา ๆ “จินเฟิง พ่อของข้าให้ข้ามาบอกเจ้าว่ามีเจ้าหน้าที่จากจวนว่าการมาที่นี่ ดูเหมือนเขาจะมาสร้างปัญหา พวกเขารอเจ้าอยู่ในหมู่บ้าน”
“เจ้าหน้าที่ที่ก่อเรื่องชื่ออะไร?”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน และข้าก็ไม่กล้าถามด้วย” หลิวเถี่ยกล่าว “แต่ข้าได้ยินมาว่าอู่จั้วเรียกเขาว่าโจวซือเหยีย”
“โจวซือเหยีย?” จินเฟิงหัวเราะเยาะ “พวกเขามาเร็วกว่าที่คิด! อ้อ คงไม่ได้ให้คนของพวกเขาเข้าไปในโรงงานสิ่งทอใช่หรือไม่?”
“ไม่ต้องห่วง ข้าส่งคนไปเฝ้าโรงงานสิ่งทอและโรงหลอมเหล็กแล้ว เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มียุงสักตัวเดียวบินเข้าไปได้”
หลิวเถี่ยทุบหน้าอกของเขาแล้วพูดว่า “ด้วยเหตุนี้ เจ้าหน้าที่จึงอารมณ์เสีย แต่ข้าไม่ได้ทำอะไรเขานะ ข้าเพียงแค่เฝ้าหน้าประตูเพื่อไม่ให้เขาเข้าไปเท่านั้น เขาเองก็หมดหนทางเช่นกัน”
“เจ้าทำถูกแล้ว”
จินเฟิงตบไหล่หลิวเถี่ย จากนั้นก็หันไปมองจางเหลียง “พี่เหลียง ให้คนนำของไปเก็บที่คลังก่อนเถิด แล้วข้าจะกลับไปดู”

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์