บทที่ 147 ท่าดีทีเหลว
“สหายอย่างนั้นหรือ เหอะ!”
จินเฟิงแทบจะแค่นหัวเราะด้วยความโกรธ “พวกโจรที่เจ้าเลี้ยงดูมาหลายร้อยชีวิตเพื่อฆ่าข้า เมื่อข้าสังหารพวกเขา ข้าต้องจ่ายค่าชดเชยให้เจ้าอีกอย่างนั้นหรือ? โจวซือเหยีย ก่อนที่เจ้าจะออกเดินทางมาในวันนี้ เจ้าหลงลืมสมองเอาไว้ที่บ้านหรือไม่? หากสิ่งนี้มีเหตุผล เจ้าเอาตรรกะแบบนี้มาจากที่ใด?”
“ท่านอาจารย์จิน พวกเราต่างก็เป็นบัณฑิต การที่เจ้าจะด่าทอข้าครั้งสองครั้งข้าย่อมไม่ถือสา แต่หากเจ้าเอ่ยออกมาอีกครั้ง เราคงได้เห็นดีกันแน่!”
สุดท้ายโจวซือเหยียก็ไม่สามารถเสแสร้งได้อีก
“อ้อ ไม่ทราบว่าโจวซือเหยียจะจัดการข้าอย่างไรหรือ?”
จินเฟิงถามด้วยรอยยิ้ม “ในฐานะเจ้าหน้าที่ทางการของราชสำนัก เจ้ากลับสนับสนุนกลุ่มโจรอย่างลับ ๆ เจ้าจะต้องถูกประหารชีวิตตามกฎหมาย เจ้าไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ด้วยซ้ำ แล้วจะมาเล่นงานข้าได้อย่างไร?”
นี่เป็นเหตุผลว่า ทำไมเมื่อจินเฟิงเห็นโจวซือเหยีย เขาจึงไม่แสดงความเคารพใด ๆ ทั้งยังสนทนาด้วยถ้อยคำที่ไม่ให้เกียรติอีกฝ่าย
ในสายตาของบัณฑิตหนุ่ม โจวซือเหยียจบเห่แล้ว เหตุผลที่เขายังคงพูดคุยกับบุรุษผู้นี้มากมายก็เพียงเพื่อดูว่าอีกฝ่ายกำลังวางแผนอะไรอยู่
“ท่านอาจารย์จิน เจ้าบอกว่าข้าหนุนหลังโจร แล้วจะแปลว่าข้าทำเช่นนั้นจริง ๆ หรือ?”
โจวซือเหยียก้มหน้าลง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งและจ้องไปที่จินเฟิงนิ่ง “หลิวเจียงจะเป็นโจรหรือไม่ ไม่ใช่การตัดสินใจของเจ้า แต่เป็นการตัดสินใจของข้า!”
“โจวซือเหยียนั่นคือสิ่งที่ท่านวางแผนไว้สินะ”
จินเฟิงตระหนักได้ทันที
“เจ้าโอหังเกินไปหรือไม่ ผู้คนหลายหมื่นคนในอำเภอจินชวนรู้ว่าหลิวเจียงเป็นโจร เจ้าจะจำแนกถูกและผิดด้วยประโยคเดียวได้อย่างไร”
ชิ่งมู่หลานทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป นางตบโต๊ะแล้วเอ่ย “อีกทั้งเรายังจับกุมผู้คนได้มากกว่าร้อยคน พวกเขายังมีชีวิตอยู่ ทั้งหมดเป็นหลักฐานที่หักล้างไม่ได้!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ท่านอาจารย์จิน สหายของเจ้าไร้เดียงสายิ่งนัก!”
ดูเหมือนว่าโจวซือเหยียจะได้ยินเรื่องตลกเข้า เขาหัวเราะอยู่พักหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างเย็นชา “ที่อื่นข้าไม่ขอเอ่ยถึง แต่ในจินชวน ข้าคือกฎ!
ถ้าข้าบอกว่าหลิวเจียงเป็นโจร เขาก็จะเป็นโจร ถ้าข้าบอกว่าเขาไม่ใช่ เขาก็ไม่ใช่!”
“แล้วเจอกันที่ศาล!”
ชิ่งมู่หลานโกรธมากจนกัดฟันของนางเสียงดังกรอด
“จะขึ้นศาลหรือ เจ้าลองดูก็ได้”
โจวซือเหยียหัวเราะอย่างเหยียดหยามและพูดว่า “ข้าก็อยากจะรู้เช่นกันว่า นายอำเภอผู้มีสิทธิ์พิพากษาจะเชื่อในตัวเจ้ากับโจรไม่กี่คนหรือเชื่อในตัวข้า! อย่างไรก็ตาม ข้าขอเตือนไว้ก่อนว่า ตามกฎหมายต้าคัง เมื่อประชาชนฟ้องเจ้าหน้าที่ ไม่ว่าจะถูกหรือผิด สิ่งที่เจ้าต้องโดนคือการโบยยี่สิบไม้ หากจะขึ้นศาลจริง ๆ ขั้นแรกเจ้าต้องเตรียมสะโพกของเจ้าให้พร้อมสำหรับการถูกโบย”
“กฎหมายของต้าคังเสื่อมทรามขนาดนี้เลยหรือ?”
เมื่อจินเฟิงได้ยินสิ่งนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
กฎหมายถูกสร้างขึ้นโดยเจ้าหน้าที่และโดยธรรมชาติแล้วพวกเขาจะต้องปกป้องผลประโยชน์ของขุนนาง บัณฑิต และชนชั้นสูง
การที่ประชาชนฟ้องเจ้าหน้าที่ก่อนมีปรากฏอยู่ในหนังสือประวัติศาสตร์จริง ๆ
ด้วยร่างกายของจินเฟิง หากถูกโบยเขาคงไม่สามารถลุกจากเตียงได้เป็นเวลาครึ่งปี แต่หากเขาโชคร้าย เขาอาจจะพิการได้เลยด้วยซ้ำ
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าเขาจะถูกโบย จินเฟิงก็ไม่สามารถชนะคดีได้
เพราะนายอำเภอคือผู้พิพากษา และอีกฝ่ายก็เป็นหุ่นเชิดของโจวซือเหยีย ท้ายที่สุดโจวซือเหยียจึงเป็นผู้ตัดสินชี้ขาดว่าหลิวเจียงและคนอื่น ๆ เป็นโจรหรือไม่
ยิ่งไปกว่านั้น ตามกฎหมายของต้าคัง ราษฎรไม่ได้รับอนุญาตให้ยื่นฟ้องข้ามลำดับขั้น แม้ว่าจินเฟิงจะนำเรื่องร้องเรียนไปยังหน่วยงานที่มีระดับสูงกว่าอำเภออย่างมณฑล สุดท้ายก็จะไม่มีใครสนใจเขาอยู่ดี
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ โจวซือเหยียสามารถเอาชนะจินเฟิงได้อย่างแน่นอน!
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้คนผู้นี้มั่นใจมาก
“เป็นอย่างไรท่านอาจารย์จิน? คิดออกแล้วใช่หรือไม่?”
โจวซือเหยียดูเหมือนจะมั่นใจในชัยชนะ “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเอาชนะหลิวเจียงได้อย่างไร แต่ไม่ว่าเจ้าจะเก่งแค่ไหน เจ้าก็ไม่สามารถเอาชนะข้าได้ เว้นแต่เจ้าต้องการกบฏ! อย่างไรก็ตาม ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อนว่า การที่ราษฎรทำการรับสมัครบุรุษเข้ามาเป็นกองกำลังส่วนตัวนั้นผิดกฎหมาย”
“ถูกของเจ้า”
จินเฟิงพยักหน้าเห็นด้วย
ตั้งแต่สมัยโบราณประชาชนทั่วไปมักมีความเชื่อที่ว่า ราษฎรไม่ควรต่อสู้กับเจ้าหน้าที่
เหมือนเขาจะพลาดไป
ไม่ใช่ว่าเขาไม่ฉลาดพอ แต่เขาไม่คาดคิดว่าจินเฟิงจะเป็นขุนนางได้จริง ๆ
เนื่องจากฝ่าบาทตั้งใจที่จะลดจำนวนขุนนางลงจึงมีขุนนางใหม่น้อยมากตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา
เมื่อคนส่วนใหญ่ได้รับตำแหน่ง พวกเขาต่างก็ตีฆ้องและกลองเพื่อป่าวประกาศให้ทุกคนรับรู้ แต่จินเฟิงนั้นไม่ใช่ มีเพียงชิ่งมู่หลานและอาเหมยเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ ไม่มีใครในจินชวนรู้สถานะอันสูงส่งของชายหนุ่ม
รวมทั้งกวานเสี่ยวโหรวด้วย
ไม่ต้องพูดถึงโจวซือเหยีย
ต้าคังมีลำดับชั้นที่เข้มงวด ขุนนางและสามัญชนนับว่าแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
แม้ว่าจินเฟิงจะเป็นเพียงหนาน ซึ่งถือเป็นบรรดาศักดิ์ที่ต่ำที่สุดในหมู่ขุนนาง แต่เขาก็ยังคงได้รับสิทธิพิเศษมากมาย
ตัวอย่างเช่น แม้ว่าจะก่ออาชญากรรม ทางจวนว่าการก็ไม่มีสิทธิ์จับกุมเขา สิ่งที่ทำได้มากที่สุดคือรายงานต่อกรมขุนนางและกรมพิธีการก่อนจึงจะสามารถจับกุมได้
และขุนนางก็มีสิทธิ์รับสมัครทหารองครักษ์และเดินทางไปยังเมืองหลวงเพื่อยื่นคำร้องต่อฝ่าบาทได้
แม้ว่าจะไม่ได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทได้โดยตรง แต่ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างจินเฟิงและชิ่งไหว ความเป็นไปได้ที่อีกฝ่ายจะได้พบกับชิ่งกั๋วกงก็ยังคงสูงมาก
เมื่อเวลานั้นมาถึง คำพูดของชิ่งกั๋วกงจะกลายเป็นหายนะสำหรับเขา
“โจวซือเหยียเจ้าจะบดขยี้ข้าให้ตายตอนนี้เลยหรือ?”
จินเฟิงถามอย่างเยาะเย้ย
“ท่านอาจารย์จิน เมื่อครู่ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้น”
โจวซือเหยียวางแผ่นป้ายประจำตัวของจินเฟิงลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง “หลิวเจียงทำทุกอย่างตามอำเภอใจ ผู้คนต่างก็ร้องเรียนเขามาหลายหนแล้ว ความสำเร็จของท่านอาจารย์คือการขจัดอันตรายให้ผู้คนจริง ๆ ซึ่งนับเป็นความดีความชอบอันยิ่งใหญ่ เมื่อข้ากลับไป ข้าจะให้ท่านนายอำเภอรายงานต่อราชสำนักอย่างแน่นอน!”
“เจ้าไม่ต้องการไนปั่นด้ายของข้าแล้วหรือ?”
จินเฟิงหัวเราะเยาะและถาม “เจ้าไม่อยากได้ค่าชดเชยแล้วอย่างนั้นสิ?”

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์