บทที่ 155 ทุกเม็ดล้วนลำเค็ญ
“ไม่ได้มีเรื่องสนุกอะไรหรอก เจ้ารีบไปกินข้าวเถิด”
กวานเสี่ยวโหรวยิ้มพร้อมยกโจ๊กมาให้เสี่ยวเอ๋อหนึ่งถ้วย
เสี่ยวเอ๋อเพิ่งตื่นขึ้นจึงไม่มีความอยากอาหาร นางกินไปเพียงสองสามคำ จากนั้นจึงหยิบแผ่นแป้งจี่ที่อยู่ในจานขึ้นมาหนึ่งชิ้นแล้วทำท่าจะวิ่งออกไป
เมื่อวานนางคุยกับเพื่อนไว้ว่า วันนี้จะไปจับนกที่หลังเขาจึงไม่อยากไปถึงสาย
“หยุดเดี๋ยวนี้!” กวานเสี่ยวโหรวเรียกเสี่ยวเอ๋อด้วยใบหน้าเย็นชา
“ทำไมหรือท่านพี่?” เสี่ยวเอ๋อถามด้วยความไม่เข้าใจ
“กินข้าวให้หมดก่อนค่อยออกไป!” กวานเสี่ยวโหรวชี้ไปที่โจ๊กที่ยังเหลืออยู่อีกครึ่งถ้วยแล้วพูดว่า “เหลือไว้มากมายขนาดนี้ให้ผู้ใดกิน?”
“ท่านพี่ ข้าไม่อยากกิน ท่านให้พี่รุ่นเหนียงเททิ้งแล้วกัน”
เสี่ยวเอ๋อพูดอย่างไม่ใส่ใจ
หลังจากพูดอย่างนั้น นางก็โบกมือและเตรียมที่จะออกไป แต่ถูกกวานเสี่ยวโหรวคว้าตัวเอาไว้ได้ก่อน
“พี่เขยของเจ้าเคยพูดไปแล้ว อีกทั้งยังย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี่ก็เป็นครั้งที่สามแล้วที่เจ้ากินทิ้งกินขว้างเช่นนี้!”
กวานเสี่ยวโหรวชี้ไปที่เก้าอี้ “หากวันนี้เจ้ากินข้าวไม่หมด เจ้าก็ไม่ต้องออกไปข้างนอก!”
“พี่เขย…”
เสี่ยวเอ๋อมองไปที่จินเฟิงอย่างน่าสงสาร
โดยปกติจินเฟิงจะเอ็นดูเสี่ยวเอ๋อมากเป็นพิเศษ ทุกครั้งที่เสี่ยวเอ๋อประสบปัญหาและถูกกวานเสี่ยวโหรวดุ จินเฟิงจะเป็นผู้ที่ช่วยเหลือนางเสมอ
แต่คราวนี้บัณฑิตหนุ่มไม่ได้ช่วย แต่เขาชี้ไปที่โจ๊กข้าวขาวที่เหลืออยู่ในถ้วยพร้อมพูดขึ้นมาว่า
“ข้าวในจานที่กิน ทุกเม็ดล้วนลำเค็ญ เสี่ยวเอ๋อ การที่เจ้ากินทิ้งกินขว้าง เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีเด็กกี่คนในหมู่บ้านที่เฝ้าฝันอยากกินโจ๊กข้าวขาว”
ในศตวรรษที่ 21 เป็นเรื่องปกติที่เด็ก ๆ จะไม่ยอมกินข้าว เพราะในสมัยนั้นมีของกินมากมายและไม่ขาดแคลนอาหาร
แต่ในสมัยต้าคังที่ของกินล้วนขาดแคลน ผลผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภค ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนต้องอดตายทุกปี การกินทิ้งกินขว้างเช่นนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดบาปเป็นอย่างมาก
แม้แต่จินเฟิงยังพยายามกินให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้และไม่เคยกินข้าวเหลือ
“อีกอย่าง เจ้าก็เพิ่งจะมีกินได้ไม่เท่าไร ตอนนี้เจ้าเริ่มกินทิ้งขว้างอย่างไม่ไยดีแล้วหรือ?”
กวานเสี่ยวโหรวตีหน้าผากของเสี่ยวเอ๋ออย่างแรง “หากเจ้ายังเป็นเช่นนี้อีก ข้าจะส่งเจ้ากลับไปอยู่ที่บ้านให้พี่สะใภ้ช่วยดูแล!”
“ท่านพี่ ข้าจะกิน คราวหน้าจะไม่กินเหลือแล้ว อย่าส่งข้ากลับไปเลยนะ!”
ชีวิตก่อนหน้านี้เป็นฝันร้ายของกวานเสี่ยวเอ๋อ เมื่อนางได้ยินว่ากวานเสี่ยวโหรวกำลังจะส่งนางกลับไปที่นั่นอีกครั้งก็ตกใจจนหน้าซีด จากนั้นนางก็รีบนั่งลงแล้วหยิบถ้วยข้าวขึ้นมากินอย่างตั้งใจ
“ข้าวในจานที่กิน ทุกเม็ดล้วนลำเค็ญ…”
ชิ่งมู่หลานกัดตะเกียบของนางและพึมพำซ้ำ ๆ “ท่านอาจารย์ สิ่งที่ท่านพูดก็มีเหตุผล เหมือนจะเป็นสองวรรคจากบทกลอนห้าพยางค์ใช่หรือไม่”
ถังตงตงก็พยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน
“คิดไม่ถึงเลยว่าสตรีจากครอบครัวร่ำรวยแบบเจ้าจะสนใจอะไรแบบนี้ด้วย”
จินเฟิงยิ้มและชมเชย
“ตอนเด็ก ๆ ท่านพ่อบังคับให้ข้าเรียนหนังสือ ข้าโดนอาจารย์ของข้าตีไปไม่รู้กี่ครั้ง กลอนนี้มีอีกสองวรรคก่อนหน้าหรือไม่ ข้าจำรูปแบบฉันทลักษณ์ไม่ได้ ไม่รู้ว่าการที่ข้าถูกลงโทษไปคราวนั้นทำให้ความรู้หล่นหายไปหรือไม่?”
ชิ่งมู่หลานถามว่า “อีกสองวรรคที่เหลือคืออะไรเล่า?”
“ปลูกข้าวตอนแดดกล้า หยาดเหงื่อหยดลงดิน”
จินเฟิงทวนบทกลอน ‘ทุกข์ของชาวนา’ อีกสองประโยคออกมา
“ปลูกข้าวตอนแดดกล้า หยาดเหงื่อหยดลงดิน ข้าวในจานที่กิน ทุกเม็ดล้วนลำเค็ญ!”
ชิ่งมู่หลานท่องออกมาอย่างแผ่วเบาและชมเชย “คำพูดนั้นเรียบง่ายแต่ชัดเจน สัมผัสได้ถึงความหมายอันลึกซึ้ง ช่างเป็นบทกวีที่ดีจริง ๆ!”
“มันเป็นบทกวีที่ดีจริง ๆ!”
ถังตงตงพยักหน้า “ในสองวรรคแรก เพียงแค่สิบคำก็สามารถทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับว่าพวกเขาสามารถมองเห็นหยาดเหงื่อของชาวนาหยดลงบนพื้นได้จริง ๆ”
“ท่านอาจารย์ บทกวีนี้ชื่อว่าอะไรหรือ?”
จินเฟิงมองไปที่ถังตงตง “ตงตง เจ้าลองปรึกษากับหัวหน้าหมู่บ้านและซานเหยียเหยี่ยเพื่อหาแนวทางแก้ไขเรื่องนี้ดู”
“ตกลง” ถังตงตงวางงานของนางลง “ข้าจะไปถามเดี๋ยวนี้เลยแล้วกัน”
“ข้าก็อิ่มแล้ว” ชิ่งมู่หลานตักข้าวที่เหลือเข้าปาก “ตงตง รอข้าด้วย!”
ถังตงตงยังคงให้ความสำคัญกับคำพูดของจินเฟิง เมื่อนางไปถึงโรงงานสิ่งทอ นางก็ส่งคนไปเรียกหัวหน้าหมู่บ้านของทั้งสองหมู่บ้านทันที
พวกเขาทั้งสามพูดคุยกันในห้องทำงานอยู่ครึ่งวันเช้า และในเย็นวันนั้นเวลาเลิกงานก็ได้เรียกคนงานทั้งหมดมาประชุม
ถังตงตงประกาศในที่ประชุมว่าใครก็ตามที่ทิ้งอาหารอีกจะถูกหักค่าแรง
พวกเขาล้วนแต่เป็นผู้ที่ต้องทนทุกข์ยากลำบาก และพวกที่ทิ้งอาหารก็เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น การตัดสินใจครั้งนี้สมเหตุสมผลและแทบไม่มีใครคัดค้าน นอกจากนี้ยังมีผู้สนับสนุนไม่น้อย
“แม่นางตงตง ข้าสนับสนุนการตัดสินใจนี้ ท่านพ่อและท่านแม่ของข้าต่างก็อดตายกันทั้งคู่ ข้าไม่สนว่าใครจะทิ้งอาหารมากที่สุด แต่ถ้าข้าเห็นคนทิ้งอาหารอีก ข้าจะเป็นคนแรกที่เล่นงานพวกเขา ถึงตอนนั้นก็อย่ามาว่าข้าลับหลังแล้วกัน!”
“ทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ต่างก็เคยอดอยาก? หากไม่ใช่เพราะจินเฟิงเราจะมีกินอย่างทุกวันนี้หรือ?”
“แค่มีกินไม่กี่วันก็ลืมรากเหง้าแล้ว ในอนาคตใครจะกล้ากินทิ้งกินขว้างอีกข้าไม่รู้ แต่ข้าผู้นี้เป็นคนแรกที่จะไม่ทำอย่างนั้น!”
“นางโจว มองอะไรอยู่หรือ? ข้ากำลังว่าเจ้านั่นแหละ ข้าเห็นเจ้ากินอาหารเหลือตั้งสองครั้งแล้ว หากกินไม่หมดก็อย่าตักไปมากนักสิ!”
“แล้วก็แม่นางหลี่ ครั้งก่อนข้าก็เห็นเจ้าทิ้งวอวอโถวไปมากกว่าครึ่ง!”
“ทุกคนหยุดได้แล้ว ข้ารู้ว่าข้าผิด!”
สตรีสองคนที่ถูกประจาน ณ จุดนั้นหน้าแดงด้วยความอับอายและร้องขอความเมตตา
“อย่าพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต แค่อย่าทำอีกในอนาคตก็พอ”
ถังตงตงหยิบป้ายไม้ออกมาจากด้านหลัง “ฟางเหลย ช่วยแขวนสิ่งนี้ไว้บนผนังเพื่อเตือนทุกคนด้วย”
“แม่นางตงตง บนแผ่นป้ายนี้เขียนไว้ว่าอย่างไรหรือ?”
หญิงชาวบ้านคนหนึ่งถามขึ้นมาอย่างสงสัย
[1] หลี่เซิน (李绅) : ผู้แต่งบทกวีในสมัยราชวงศ์ถัง

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์