บทที่ 156 บทกวีและชื่อเสียงเลื่องลือ
“นี่คือบทกวีที่เขียนโดยจินเฟิง”
ถังตงตงชี้ไปที่ป้ายแล้วอ่าน ‘ทุกข์ของชาวนา’ ครั้งหนึ่ง
ภาษาของบทกวี ‘ทุกข์ของชาวนา’ นั้นเรียบง่ายและสามารถเข้าใจได้ แม้กระทั่งคนธรรมดาที่ไม่สามารถอ่านอักษรจีนได้สักตัวเดียว
หลังจากที่ถังตงตงอ่านจบ คนทั้งโรงอาหารก็เริ่มพูดคุยกัน
“บทกวีนี้เขียนโดยจินเฟิงหรือ? เขียนได้ดีจนข้าฟังแล้วอยากจะปาดน้ำตา!”
“ตรงใจเป็นอย่างมาก ปีที่แล้วข้าเป็นลมที่ผืนนาเพราะอยากทำงานต่ออีกสักหน่อย หากป้าโจวไม่ผ่านไปเห็นเข้า ข้าคงตายอยู่ตรงนั้นเป็นแน่ บทกวีนี้ข้าจะจารึกไว้ในใจ!”
“ข้าเคยได้ยินคนท่องบทกวีและเนื้อเพลง ทั้งที่เขียนเกี่ยวกับภูเขาแม่น้ำ หรือเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับชายหญิง ฟังแล้วชวนคลื่นไส้ไม่น้อย นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนเขียนเกี่ยวกับชาวนาอย่างเรา!”
“คนที่เรียนอยู่ในเมืองล้วนเป็นบรรดานายน้อย พวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าการทำนาของเรายากลำบากแค่ไหน”
“ใช่! มีแต่จินเฟิงเท่านั้นที่เข้าใจเราได้ดี”
“เมื่อปีที่แล้วตอนที่ข้าถางหญ้า จินเฟิงมักจะมาดูเสมอ เป็นไปได้หรือไม่ว่าบทกวีนี้จะเขียนถึงข้า”
“จินเฟิงเขียนบทกวีเก่งมาก ในอนาคตเขาต้องได้เป็นจ้วงหยวน*[1] แน่ ๆ!”
“ข้าเคยพูดกับเหล่าจินแล้ว ว่าจินเฟิงไม่ใช่คนธรรมดา ดูสิข้าพูดผิดที่ไหน เป็นที่น่าเสียดายที่เหล่าจินมาด่วนจากไปเสียก่อน”
…
‘ทุกข์ของชาวนา’ มีทั้งหมดเพียงยี่สิบพยางค์เท่านั้น และเป็นบทกวีที่โดนใจผู้คน ทำให้คนงานส่วนใหญ่ในโรงอาหารจำได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องรอให้ถังตงตงอ่านทวนเป็นครั้งที่สอง
เป็นเรื่องปกติที่เด็ก ๆ จะดื้อรั้นและเลือกกิน ในอดีตตอนที่ยังขาดแคลนก็ยังเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก แต่ตอนนี้ชีวิตในซีเหอวานและกวานเจียวานเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ จนเริ่มเห็นได้ชัดว่ามีเด็กหลายคนกินข้าวไม่หมด
หลังจากกลับถึงบ้านตอนกลางคืน คนงานหญิงจำนวนมากใช้บทกวีนี้เพื่อสอนบทเรียนให้กับลูก ๆ
เช้าวันรุ่งขึ้น บทกวีนี้ก็ถูกแพร่กระจายไปทั่วหมู่บ้านทั้งสอง
ไม่ง่ายเลยที่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ นี้จะมีบัณฑิตขึ้นมาสักคน อีกทั้งยังมีความสามารถในการเขียนบทกวีอีกด้วย นั่นทำให้คนทั้งหมู่บ้านภาคภูมิใจในตัวเขา และเมื่อขบวนคุ้มกันเข้าไปในเมืองก็อดไม่ได้ที่จะโอ้อวด
จากนั้นบทกวีนี้ก็แพร่กระจายไปถึงจวนว่าการในตัวอำเภอ
ในเวลาเพียงสามวัน บทกวีนี้กลายเป็นเพลงกล่อมเด็กที่นิยมที่สุดในอำเภอจินชวน ในขณะที่เด็ก ๆ วิ่งเล่นก็ยังร้องกวีบทนี้ไปด้วย
ในเรื่องของลีลาการใช้ภาษาและเรื่องของวรรณกรรมต้าคังนั้นไม่เป็นรองใคร ไม่เพียงแต่เจ้าหน้าที่ระดับสูงเท่านั้นที่ชอบบทกวี แต่พ่อค้าและชนชั้นสูงบางคนยังชอบที่จะผูกมิตรกับผู้รู้หนังสือและมักจะจัดงานเลี้ยงทางวรรณกรรมเพื่อเอาใจเจ้าหน้าที่
ในเวลานี้ ภัตตาคารที่ใหญ่ที่สุดในอำเภอจินชวนกำลังจัดงานเลี้ยงทางวัฒนธรรม
ผู้ริเริ่มการจัดงานเลี้ยงทางวัฒนธรรมคือคังเฟิงเหนียน พ่อค้าเกลือรายใหญ่ที่สุดในจินชวน และตัวเอกเป็นเจ้าหน้าที่จากในเมืองแซ่เฉิน
นายท่านเฉินผู้นี้เป็นบุคคลที่ดูแลอุตสาหกรรมเกลือและเหล็กในเมือง และยังเป็นเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งของคังเฟิงเหนียนอีกด้วย
เพื่อเอาใจนายท่านเฉิน คังเฟิงเหนียนใช้เงินเป็นจำนวนมากและเชิญ ‘ผู้ประพันธ์’ ที่มีชื่อเสียงจากทั่วเมืองกวางเหยวียนมาแลกเปลี่ยนกันด้านวรรณกรรม
ในเมืองต้าคัง มีตัวอย่างของผู้ที่ได้รับการเชื้อเชิญให้มาเขียนบทกวีและเนื้อเพลงไม่น้อย และบางคนถึงกับกลายเป็นตำนานและถูกผู้คนพูดถึง ยิ่งไปกว่านั้นเพื่อเอาใจนายท่านเฉิน คังเฟิงเหนียนต้องจ่ายค่าตอบแทนช่างอักษรและจิตรกรไปไม่น้อย
ในระหว่างงานเลี้ยง เพื่อดึงดูดความสนใจของนายท่านเฉิน ‘ผู้ประพันธ์’ พยายามอย่างเต็มที่เพื่อแสดงความสามารถด้านวรรณกรรมของตน
น่าเสียดายที่บทกวีที่พวกเขาแต่งออกมานั้นธรรมดามากจนนายท่านเฉินไม่ถูกใจเลย
อย่างไรก็ตาม ในตอนท้ายของการแสดง นายท่านเฉินกลับรู้สึกประทับใจกับเพลงกล่อมเด็กที่เด็กกลุ่มหนึ่งร้องออกมาบนถนน
เมื่อเขารู้ว่าบทกวีนี้เขียนโดยบัณฑิตจากชนบท นายท่านเฉินก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยชื่นชมบทกวี ‘ทุกข์ของชาวนา’ และจินเฟิงเป็นอย่างมาก
แน่นอนว่าบทกวีนี้แพร่กระจายไปทั่วเมืองกวางเหยวียนจากงานเลี้ยงทางวรรณกรรมครั้งนั้น

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์