บทที่ 163 โชคลาภที่คาดไม่ถึง
ในเวลานี้ทหารหญิงจำนวนมากรู้สึกหวาดกลัวเมื่อพวกนางเห็นกองกำลังแปลกหน้าปรากฏขึ้น พวกนางจึงยกหน้าไม้และเล็งออกไปโดยที่ไม่ทันได้รอคำสั่งจากชิ่งมู่หลาน
แม้แต่ชิ่งมู่หลานก็ชักดาบของนางออกมา
“ทุกคนใจเย็น ๆ นั่นคือพวกเดียวกับเรา!”
จินเฟิงตะโกนอย่างรวดเร็ว
โจรจิ๋วหลี่โกวปักหลักอยู่ไม่ไกลจากถนนเส้นหลัก และพวกโจรก็ได้ก่อปัญหามาหลายปีแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงน่าจะมีทรัพย์สมบัติอยู่บ้าง
หลังจากสังหารกลุ่มโจรที่บุกมาโจมตีซีเหอวานแล้ว จินเฟิงไม่พบสิ่งของมีค่าจากหัวหน้าโจรมากนัก เขารู้สึกกระวนกระวายใจและต้องการไปที่เหยียโก่วพัวเพื่อสนับสนุนทหารหญิงและเจิ้งฟาง ดังนั้นจึงส่งจางเหลียงและคนของเขาไปที่จิ๋วหลี่โกวเพื่อค้นบ้านของพวกโจร
และในเวลานี้ก็น่าจะกลับมาได้แล้ว
ทหารหญิงเพิ่งประสบกับการต่อสู้แบบประชิดตัวที่โหดร้าย จิตใจของพวกนางยังคงตึงเครียด มันคงตลกร้ายหากพวกนางเผลอยิงพวกของตัวเองโดยไม่ตั้งใจ
“ทุกคนวางหน้าไม้ลง!”
ชิ่งมู่หลานจำได้ว่าคนที่เดินเข้ามาคือจางเหลียง จากนั้นนางจึงเก็บดาบของตนเองด้วยความลำบากใจ
“พี่เหลียง ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีหรือไม่?” จินเฟิงเดินเข้ามาถาม
คืนนี้ต้องแบ่งกองกำลังที่มีออกเป็นหลายหมู่ เพราะตอนนี้กำลังคนไม่เพียงพอจริง ๆ จินเฟิงทำได้แค่ส่งทหารผ่านศึกไม่กี่นายไปกับจางเหลียงเท่านั้นและที่เหลือเป็นบุรุษจากหมู่บ้าน หากที่จิ๋วหลี่โกวมีโจรเหลืออยู่มากเกินไป จางเหลียงอาจจะเป็นอันตรายได้
“ทุกอย่างราบรื่นดี มีโจรเหลือเพียงหกคนบนภูเขาคอยเฝ้าประตู ตอนที่พวกเราไปถึง พวกเขายังคงหลับสบายเชียวล่ะ” จางเหลียงตอบด้วยรอยยิ้ม
“ราบรื่นก็ดีแล้ว” จินเฟิงถามต่อ “แล้วได้ของมีค่าอะไรมาบ้าง?”
“เจ้าคงไม่อยากจะเชื่อเลย”
จางเหลียงหยิบตั๋วเงินออกมาจากใต้แขนเสื้อแล้วมอบให้จินเฟิง
บัณฑิตหนุ่มหยิบตั๋วเงินขึ้นมาแล้วมองดู พบว่าตั๋วเงินที่มีมูลค่าน้อยที่สุดคือหนึ่งร้อยตำลึงเงิน และมีตั๋วเงินอีกสามใบที่มีมูลค่าหนึ่งพันตำลึงเงิน
“นี่เกือบจะพอ ๆ กับเงินของโจรเขาเถี่ยกว้านเลยนะ แต่หัวหน้าโจรกลับบอกว่าเขาไม่มีเงิน!”
ก่อนที่จะส่งจางเหลียงไปที่จิ๋วหลี่โกว จินเฟิงได้ถามหัวหน้าโจรจิ๋วหลี่โกวแล้วว่าเขาซ่อนเงินไว้ที่ใด
ในตอนนั้น หัวหน้าโจรเอาแต่พูดว่าเงินถูกใช้หมดแล้ว เพราะรองหัวหน้าโจรนำไปใช้สร้างชุดเกราะ
แม้ว่าในตอนสุดท้ายเขาจะยอมจำนน แต่เขาก็ยังยืนกรานอย่างหนักแน่น
มีโจรสวมชุดเกราะอยู่จริง ๆ และพวกเขาก็ไม่ได้ดูขาดแคลนกำลังทรัพย์แม้แต่น้อย จินเฟิงเชื่อว่าพวกเขาคงคิดไม่ถึงว่าจะถูกบุกรุกฐานที่ตั้ง
ใครจะรู้ว่าจางเหลียงจะนำความประหลาดใจครั้งใหญ่มาให้
“สิ่งนี้ไม่ได้พบจากบ้านของหัวหน้าโจร แต่พบจากบ้านของรองหัวหน้าโจร”
จางเหลียงพูดด้วยรอยยิ้ม “เราโชคดีมาก เพราะพวกเขาเหลือโจรเพียงห้าถึงหกคนเพื่อเฝ้าประตู และมีอยู่ อีกห้าคนที่เป็นคนสนิทของรองหัวหน้าโจร เพื่อความอยู่รอด พวกเขาบอกข้าว่ารองหัวหน้าโจรเคยปล้นพ่อค้าเกลือรายใหญ่และขู่กรรโชกเงินมาได้หลายพันตำลึงเงิน เขาแอบเก็บเงินเอาไว้และไม่ได้บอกให้หัวหน้าโจรรับรู้ เราพาคนไปขุดลานบ้านของรองหัวหน้าโจร รื้อแม้กระทั่งกำแพงบ้านของเขา ในที่สุดเราก็พบเงินเข้าจริง ๆ”
“ข้าขอบใจพวกเจ้าทุกคนมาก เหนื่อยหน่อยนะ!”
จินเฟิงมองไปยังบุรุษที่อยู่ด้านหลังจางเหลียง หลายคนมีสิ่งสกปรกบนร่างกายและหนังศีรษะ เห็นได้ชัดว่าน่าจะเกิดจากการไปขุดรื้อบ้านของโจร
บัณฑิตหนุ่มจึงหยิบตั๋วเงินออกมาสองสามร้อยตำลึงเงินแล้วมอบให้จางเหลียง “นำเงินจำนวนนี้ไปปันให้ทุกคนเท่า ๆ กัน ถือเป็นการขอบคุณสำหรับการทำงานหนัก”
“จินเฟิง พวกเราล้วนเป็นคนคุ้ยเคยที่มาจากหมู่บ้านเดียวกัน พูดเหมือนเป็นคนอื่นคนไกลไปได้!”
“ข้าโดนโจรขู่มาทั้งชีวิต นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าปล้นโจรได้ ข้ารู้สึกโล่งใจมาก ลำบากแค่ไหนก็คุ้ม!”
“หากครั้งต่อไปมีเรื่องเช่นนี้อีก พี่เหลียงอย่าลืมเรียกข้านะ!”
“จินเฟิง เจ้าเก็บเงินไปเถิด พี่เหลียงให้เงินเรามาเยอะมากแล้ว หากเราได้มากกว่านี้ก็เหมือนว่าเราไม่รู้จักพอ!”
“ใช่ ไม่เช่นนั้น คราวหน้าพวกข้าก็คงไม่กล้าไปอีกเพราะว่าเกรงใจเจ้า”
จากนั้นทุกคนก็เผยรอยยิ้มบนใบหน้า
“เสี่ยวเฟิง ตามกฎดั้งเดิมแล้ว ข้าเก็บไว้แค่ตั๋วเงินของรองหัวหน้าโจรเท่านั้น ส่วนสิ่งของอื่น ๆ ที่พบ ข้าได้ให้ทุกคนแบ่งกันไปหมดแล้ว”
ก่อนเขาจะเข้าไปในโรงงานสิ่งทอก็มีหญิงสูงวัยและเด็กอายุรวบห้าหกขวบเดินเข้ามา
สตรีคนนั้นแบกข้าวครึ่งถุงไว้บนหลัง โดยมีเด็กชายตัวน้อยเปลือยก้นกอดม้วนผ้าหยาบเอาไว้
เมื่อเห็นจินเฟิง นางก็วางข้าวลงบนพื้นและโค้งคำนับให้ทันที พร้อมพูดกับเด็กชายว่า
“หนิวหวา รีบไปคำนับผู้มีพระคุณของเจ้าเร็ว!”
เด็กชายคนนั้นเชื่อฟังเป็นอย่างดี เมื่อย่าบอกให้คำนับ เด็กชายก็รีบคุกเข่าลงกับพื้นและคำนับจินเฟิงอย่างรวดเร็ว
“ชีเสิ่น เจ้าทำอะไรน่ะ?”
จินเฟิงประคองหญิงชราลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วดึงเด็กตัวน้อยตามขึ้นมาด้วย
บุตรชายของชีเสิ่นเสียชีวิตในสนามรบ ส่วนสะใภ้สองคนพาหลานสาวไปเก็บเห็ดที่เขาด้านหลังเมื่อปีก่อนและพบกับหมาป่า ตอนนี้เหลือเพียงชีเสิ่นและหลานชายหนึ่งคนเท่านั้น
หลังจากลูกเสียชีวิต ชีเสิ่นก็ร้องไห้ทุกวัน นางไม่มีโอกาสได้ไปทำงานที่โรงงานสิ่งทอเพราะว่าหลานของนางยังเล็ก และตอนนี้ครอบครัวของนางก็กำลังลำบากมาก
กล่าวได้ว่าข้าวครึ่งถุงนี้สามารถช่วยชีวิตนางและหลานชายได้เลยทีเดียว
“หนิวหวา เจ้าต้องจำไว้ว่าพี่เฟิงเป็นผู้มีพระคุณที่ยิ่งใหญ่ต่อครอบครัวของเรา เมื่อเจ้าโตขึ้นต้องตอบแทนความมีน้ำใจของเขา เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
ชีเสิ่นพูดกับหลานชาย
“ท่านย่า ข้าจะจำไว้”
เด็กชายพยักหน้าขึ้นลงอย่างแรง “ปีนี้ข้าอายุห้าขวบ ปีหน้าข้าก็จะสามารถไปทำงานในโรงงานสิ่งทอได้ ตอนนั้นข้าจะตั้งใจทำงาน และจะนำอาหารจากโรงงานกลับไปกินกับท่านย่าที่บ้าน”
มีหลายครอบครัวที่มีชีวิตเช่นเดียวกันกับชีเสิ่น
จินเฟิงทนไม่ได้ที่จะเห็นเด็ก ๆ อดตาย เขาจึงตกลงที่จะรับเด็กอายุหกขวบมาที่โรงงานสิ่งทอเพื่อช่วยคัดแยกเส้นด้าย พร้อมให้อาหารสามมื้อต่อวัน และทุกสิ้นเดือนก็ยังมอบค่าตอบแทนน้ำใจให้อีกหลายเหรียญทองแดง
แต่ถามว่าเด็ก ๆ จะทำงานได้ดีสักเท่าไหร่เชียว? พวกเขามักจะทำให้ด้ายยุ่งเหยิงอยู่เสมอ หลังจากที่พวกเขากลับไปแล้ว ถังตงตงก็ต้องหาคนอื่นมาทำแทน
แต่ถึงอย่างนั้นจินเฟิงก็ไม่ได้ขับไล่พวกเด็ก ๆ ออกไป

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์