บทที่ 164 สร้างชื่อเสียงบารมี
“หนิวหวา เจ้าเป็นเด็กดีและกตัญญู ไม่ต้องรอถึงปีหน้าหรอก พรุ่งนี้เจ้ามาทำงานได้เลย”
จินเฟิงยิ้มและลูบศีรษะของเด็กชาย
“จริงหรือ?!”
ดวงตาของเด็กชายเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“จริงสิ!”
จินเฟิงคุกเข่าลงและตีก้นหนิวหวาเบา ๆ “แต่เมื่อเจ้ามาทำงานที่นี่ เจ้าจะเปลือยก้นไม่ได้อีกต่อไป”
“อื้อ กลับไปเย็นนี้ข้าจะเอาผ้าไปขอให้หลิวเสิ่นช่วยเย็บกางเกงให้”
หนิวหวาคว้าแขนเสื้อของย่าอย่างตื่นเต้น “ท่านย่า ท่านได้ยินหรือไม่ ข้าจะได้ไปทำงานแล้ว จากนี้ไปข้าจะดูแลท่านย่าเอง!”
“ข้าได้ยินแล้ว ข้าได้ยินแล้ว!”
หญิงชรายิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วโค้งคำนับจินเฟิง “จินเฟิง ชาตินี้หญิงชราอย่างข้าช่างไร้ประโยชน์ ชาติหน้าแม้ว่าข้าจะต้องทำงานหนักเหมือนโคเหมือนควาย ข้าก็จะทำเพื่อตอบแทนความเมตตาของเจ้า”
เด็ก ๆ ยังไม่รู้ประสา แต่ผู้ใหญ่ย่อมมองออก จินเฟิงบอกว่าให้เด็ก ๆ ไปช่วยงาน แต่แท้จริงแล้วจินเฟิงกำลังช่วยพวกเขาอยู่ต่างหาก
“เราต่างก็เป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน ชีเสิ่นพูดเช่นนี้ฟังดูห่างเหินนัก”
จินเฟิงยิ้มและวางถุงข้าวบนไหล่ของชีเสิ่น “ท่านกลับไปก่อนเถิด เดินระวัง ๆ เล่า”
หลังจากแยกย้ายกับชีเสิ่นแล้ว บัณฑิตหนุ่มก็เดินเข้าไปในโรงงานสิ่งทอ
ทันทีที่เขาเข้าไปก็ถูกรายล้อมไปด้วยกลุ่มคนชราที่โดดเดี่ยว ซึ่งคอยโค้งคำนับและสอนให้ลูก ๆ ของพวกนางคำนับจินเฟิง
หลังจากเหตุการณ์นี้ ชายหนุ่มก็ได้รับการยอมรับในหมู่บ้านอย่างสมบูรณ์
ตอนนี้คำพูดของจินเฟิงอาจมีน้ำหนักมากกว่าหัวหน้าหมู่บ้านเสียแล้วด้วยซ้ำ
หลังจากที่จินเฟิงส่งชาวบ้านทั้งหมดออกไปและเตรียมจะกลับบ้านไปพักผ่อน ชิ่งมู่หลานก็เข้ามาหาเขาพร้อมดวงตาดำคล้ำ
“นี่คือข้อสรุปหลังการต่อสู้ของข้า ท่านอาจารย์ลองอ่านดูสิ”
ชิ่งมู่หลานถือแผ่นกระดาษไว้ด้วยมือทั้งสองข้างแล้วยื่นให้จินเฟิง
เห็นได้ชัดว่าชิ่งมู่หลานเขียนรายงานนี้อย่างรอบคอบ นางเขียนมามากกว่าสิบหน้า ตัวอักษรนับพันพรรณนาตั้งแต่การระดมพลก่อนการต่อสู้ไปจนถึงการไตร่ตรองหลังจบการต่อสู้
“เขียนได้ดีมาก นับเป็นความเรียงที่เป็นแบบอย่างที่ดี”
จินเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แต่เจ้าไม่ควรมุ่งความสนใจไปที่ข้อบกพร่องของทหารหญิงเท่านั้น เพราะสิ่งนี้จะส่งผลต่อขวัญกำลังใจ เป็นการดีกว่าที่จะนำทัพโดยมีการวิจารณ์และการลงโทษเมื่อทำผิด ควบคู่ไปกับการชมเชยและรางวัลสำหรับการทำความดี รวมไปถึงการเยียวยาต่าง ๆ”
“ข้าอยากจะยกย่องและให้รางวัลแก่พวกนาง แต่การต่อสู้จบลงแบบนี้ ข้าจะสรรเสริญพวกนางได้อย่างไร”
ชิ่งมู่หลานพูดอย่างหงุดหงิด
“ข้าไม่สามารถชมทุกคนได้ แต่ข้าสามารถชมคนบางคนที่มีผลงานโดดเด่นได้”
จินเฟิงกล่าวว่า “ข้าได้ยินมาว่าอาเหมย อาจวี๋ และทหารที่เกณฑ์มาอย่างเสี่ยวอวี้และอาเพ่ยต่างก็ทำได้ดีในการต่อสู้ครั้งนี้ เจ้าเลือกพวกนางขึ้นมาและตบรางวัลเพื่อเป็นการชมเชยสิ”
“ท่านอาจารย์มีทางออกที่ดีเสมอ”
ดวงตาของชิ่งมู่หลานเป็นประกาย “ทหารที่เกณฑ์มาส่วนใหญ่เข้าร่วมกองทัพสตรีเพราะพวกนางอยากมีรายได้ หากข้าให้รางวัลอาเหมยและคนอื่น ๆ ทุกคนจะเข้าใจว่าหากมีผลงานดีก็จะได้รับผลประโยชน์ ในการต่อสู้ครั้งต่อไป พวกนางทุกคนอาจมีความตั้งใจมากยิ่งขึ้นเพื่อล่าเงินรางวัล!”
“เจ้าช่างเรียนรู้ไวยิ่งนัก”
จินเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อันที่จริง ผลประโยชน์เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรักษาความสัมพันธ์ หากเจ้าต้องการให้ม้าวิ่ง เจ้าต้องให้อาหารม้าก่อน”
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะกลับไปจัดการเดี๋ยวนี้”
ชิ่งมู่หลานลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้น
“อย่าเพิ่งรีบไป ข้ายังพูดไม่จบ”
จินเฟิงเคาะโต๊ะด้วยความโกรธ “เมื่อใดกันที่เจ้าจะเลิกนิสัยหุนหันพลันแล่นได้?!”
“ท่านอาจารย์ เจ้ามีเรื่องอะไรอีกหรือ?”
ชิ่งมู่หลานเกาหัวด้วยความเก้อเขิน
“ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะรู้แล้วว่าทหารหญิงคนใดที่ไม่เหมาะกับการต่อสู้ ดังนั้นข้าอยากจะคัดทหารหญิงของเจ้าออกมาบางส่วนเพื่อจัดตั้งกลุ่มหมอทหาร”
“พวกนางจะเป็นหมอได้อย่างไร พวกนางไม่รู้วิธีรักษาโรค” ชิ่งมู่หลานถาม
“ข้าจะสอนพวกนางเอง” จินเฟิงกล่าว
“ท่านอาจารย์ทราบวิธีการรักษาหรือ?” ชิ่งมู่หลานถามด้วยความประหลาดใจ
“ข้าพอรู้มาบ้าง แต่แน่นอนว่าก็รู้ไม่เท่าพวกหลางจงที่มีทักษะการรักษาอย่างแท้จริง” ชายหนุ่มตอบ
ชิ่งมู่หลานมองจินเฟิงอย่างไม่อยากเชื่อ นางก้มศีรษะลงแล้วถาม “ท่านอาจารย์ ท่านรู้แล้วหรือ?”
“รู้สิ่งใด?” จินเฟิงถามด้วยความสับสน
ทหารชายเริ่มวิ่งข้ามทุ่งพร้อมสัมภาระหนักแล้ว แต่ทหารหญิงถูกชิ่งมู่หลานเรียกเอาไว้
เมื่อเห็นจินเฟิงกำลังมา ชิ่งมู่หลานก็รีบเอ่ยทักทาย
“มากันกี่คน?” จินเฟิงถาม
“มากันหมด ยกเว้นคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสสี่คน และอีกสองคนที่ได้รับบาดเจ็บที่ขา”
ชิ่งมู่หลานตอบอย่างมีความสุข
“ไม่เลว”
จินเฟิงพยักหน้า
เมื่อวานมีทหารหญิงได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก เขาคิดว่าวันนี้จะมากันเพียงสองในสาม แต่กลับกลายเป็นว่าพวกนางมากันเกือบทั้งหมด
สิ่งนี้ทำให้จินเฟิงประหลาดใจ
“ท่านอาจารย์ เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่?”
ชิ่งมู่หลานชี้ไปที่แท่นหินที่นางใช้เป็นสถานที่ปราศัย
“ไม่ล่ะ” จินเฟิงส่ายหัว “ไว้พูดถึงเรื่องกลุ่มหมอทหาร ข้าค่อยขึ้นไปอธิบาย”
ชิ่งมู่หลานเป็นผู้บังคับบัญชาการกองกำลังทหารหญิง เขาไม่ต้องการแย่งชิงตำแหน่ง
“เช่นนั้นก็ได้”
ชิ่งมู่หลานกระโดดขึ้นไปบนแท่นสูง
ทหารหญิงมองไปที่ชิ่งมู่หลาน จากนั้นก็มองไปที่จินเฟิงที่ยืนอยู่ด้านล่าง ทุกคนต่างยืดตัวตรงและฟังอย่างตั้งใจ
พวกนางทุกคนรู้ดีว่า ปกติแล้วจินเฟิงจะไม่มาดูการออกกำลังกายตอนเช้าของพวกนาง ดังนั้นเมื่อเขามาที่นี่วันนี้ หมายความว่าต้องมีบางอย่างผิดปกติ
[1] วั่งเหวินเวิ่นเชี่ย (望闻问切) : การวินิจฉัยโรคของแพทย์จีน แบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน
– วั่ง คือการมองหรือสังเกตสีหน้าคนไข้
– เหวิน คือการดม/ฟัง เช่นฟังเสียงการพูดหรือรวมไปถึงการดมกลิ่นเช่นกลิ่นปาก กลิ่นตัว
– เวิ่น คือการซักถาม
– เชี่ย คือการจับชีพจร

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์