บทที่ 166 ค้างคืนกับศพ
หลังจากที่จินเฟิงบอกว่าเขาตัดสินใจจัดตั้งกลุ่มหมอทหารขึ้นมา ทหารหญิงบางคนก็แสดงอาการตื่นเต้น
ท้ายที่สุด ไม่ใช่ทหารหญิงทุกคนจะกระตือรือร้นที่จะต่อสู้เหมือนชิ่งมู่หลานและเสี่ยวอวี้ สตรีหลายคนเข้าร่วมกองกำลังทหารหญิงเพราะความกดดันในชีวิต
การสู้รบเมื่อวันก่อนทำให้พวงนางหลายคนรู้สึกอึดอัด ในเมื่อตอนนี้มีทางเลือกอื่น ทหารหญิงเหล่านี้ก็เหมือนถูกล่อลวง
“ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าคงเคยเห็นความน่ากลัวจากการถูกฟันแทงจนเนื้อเปิดในการต่อสู้มาแล้ว บางคนถึงขนาดแขนขาหายไป ข้าขอเตือนเอาไว้ก่อนว่า หากผู้ใดกลัวศพกลัวเลือดก็อย่าได้ลงชื่อ อย่างไรเสียหมอทหารก็ต้องจัดการกับศพอยู่บ่อย ๆ คนที่เจ้ากำลังรักษาอาจเสียชีวิตได้ในวันข้างหน้า”
หลังจากที่จินเฟิงพูดเช่นนี้ ทหารหญิงก็แสดงความลังเลอีกครั้ง
ทุกวันนี้มีคนตายมากเกินไป บางครั้งในขณะที่เดินอยู่ก็อาจหันไปเห็นศพที่อยู่ข้างถนนจนไม่รู้สึกหวาดกลัว แต่ถึงกระนั้นนี่คือยุคศักดินาและความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ยังคงมีอยู่ คงไม่มีใครยินดีที่จะริเริ่มสัมผัสกับศพมากเท่าไรนัก
“ข้าให้เวลาทุกคนจนถึงช่วงสายเท่านั้น หากเลยช่วงสายวันนี้ไป ข้าจะปิดการลงชื่อ”
หลังจากที่จินเฟิงพูดจบ เขาก็กระโดดลงจากแท่นหินและจากไปทันที
หลังอาหารกลางวัน ชิ่งมู่หลานพาหญิงสาวแปดคนไปหาบัณฑิตหนุ่ม
จินเฟิงมองดูและเห็นว่าในบรรดาหญิงสาวทั้งแปดคน มีสองคนที่มาจากหมู่บ้านของเขาและอีกหนึ่งคนมาจากกวานเจียวาน ที่เหลืออีกห้าคนเขาไม่รู้จัก
“พวกนางเหล่านี้เต็มใจที่จะเข้าร่วมกลุ่มหมอทหาร ฝากท่านอาจารย์ด้วย”
ชิ่งมู่หลานส่งมอบคนของตนให้จินเฟิง แล้วเข้าไปในครัวเพื่อตามหารุ่นเหนียง
“พวกเจ้ากินอะไรมาหรือยัง” จินเฟิงถาม
“พวกข้ากินแล้ว” หญิงสาวทั้งแปดคนพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง
“กินเสร็จแล้วก็ไปกันเถอะ”
จินเฟิงพาหญิงสาวแปดคนไปที่ลานนวดข้าวที่ทางเข้าหมู่บ้าน
หลิวเถี่ยและกองกำลังคุ้มกันของเขาได้สร้างเพิงมุงจากเล็ก ๆ หลายสิบหลังไว้ทั่วลานนวดข้าว
กระท่อมนี้ถูกสร้างขึ้นอย่างหยาบ ๆ ไม่มีแม้แต่หลังคา มีเพียงเสาสี่ต้นที่ล้อมรอบด้วยเสื่อฟางเท่านั้น
อีกทั้งพื้นที่ยังเล็กมาก โดยมีขนาดไม่ถึงสองผิงด้วยซ้ำ
เมื่อเห็นจินเฟิง หลิวเถี่ยก็รีบวิ่งมาหา “จินเฟิง กระท่อมสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าดูแล้วเป็นอย่างไร ใช้ได้หรือไม่?”
“อย่างไรเสียก็ใช้งานเพียงไม่กี่วันเท่านั้น ขอแค่มันไม่พังทลายลงมาก็พอ”
จินเฟิงถามอย่างสบาย ๆ “ศพพร้อมหรือยัง?”
“โชคดีที่เจ้าบอกข้าตั้งแต่เนิ่น ๆ ศพของพวกโจรเหยียโก่วพัวจึงยังไม่ถูกฝัง ข้าไปนำศพมาก่อนสิบกว่าศพ ไม่เช่นนั้นคงหายากแน่”
หลิวเถี่ยดึงเสื่อฟางออกมาลวก ๆ
มีศพที่ดูน่ากลัวนอนอยู่บนพื้นกระท่อมขนาดเล็ก ๆ
โดยมีกองฟางตั้งไว้ข้าง ๆ ศพเหล่านั้น
“ในเมื่อพวกเจ้าสมัครใจอยากเป็นหมอทหาร นี่คือการทดสอบครั้งแรก”
จินเฟิงชี้ไปที่กระท่อมและพูดกับหญิงสาวทั้งแปดว่า “ทุกคนจะแยกย้ายกันเข้าไปในแต่ละกระท่อม นอกจากไปเข้าห้องน้ำ พวกเจ้าห้ามออกไปจากที่นี่เด็ดขาด หากพวกเจ้าสามารถผ่านพ้นการค้างคืนกับศพไปได้ จะถือว่าผ่านการทดสอบ!”
“อะไรนะ?!”
การแสดงออกของหญิงสาวเจ็ดในแปดคนเปลี่ยนไป
กระท่อมเหล่านั้นมีขนาดเล็กมาก อีกทั้งแค่ศพก็กินพื้นที่ไปกว่าครึ่งแล้ว หากพวกนางต้องการที่จะพักผ่อนก็ทำได้แค่นอนลงข้างศพเท่านั้น
และนี่ก็ไม่ใช่ศพธรรมดา แต่เป็นศพโจรที่ถูกทุบตีจนตาย และสภาพศพของแต่ละคนก็เหวอะหวะน่ากลัว
หากอยู่กับสภาพศพเช่นนี้ไม่ต้องพูดถึงหนึ่งคืน แค่หนึ่งชั่วยาม ไม่สิ แค่ครึ่งชั่วยามก็ทรมานแล้ว
มีเพียงสตรีคนหนึ่งนามว่าโจวจิ่นที่ยืนอยู่ฝั่งริมสุดเท่านั้นที่ไม่แสดงความกลัวใด ๆ แต่กลับมีความอยากรู้อยากเห็นฉายชัดผ่านดวงตาของนาง
“หากพวกเจ้าเปลี่ยนใจตอนนี้ยังทัน แค่ไปหาชิ่งมู่หลานแล้วเข้าร่วมกองทัพสตรีอีกครั้ง อย่ารอจนถึงกลางดึกที่พวกเจ้าทนไม่ไหวแล้วร้องไห้ตะโกนหนีไป เช่นนั้นมันทำให้ข้าเสียเวลาเปล่า”
จินเฟิงกล่าวต่อ “ข้าจะกลับไปดื่มน้ำสักเดี๋ยว เมื่อข้ากลับมา พวกเจ้าต้องตัดสินใจให้เรียบร้อย”
หลังจากพูดเสร็จจินเฟิงก็จากไป
เมื่อเขากลับมาที่ลานนวดข้าวอีกครั้ง เขาก็เห็นว่าหญิงสาวทั้งแปดคนยังคงยืนอยู่ที่เดิม
“เป็นอย่างไร พวกเจ้าคิดกันดีแล้วหรือยัง?”
จินเฟิงถามด้วยรอยยิ้ม
“หากทนไม่ได้ก็แค่ยอมแพ้”
จินเฟิงบิดตัวเล็กน้อยจากนั้นก็เอ่ย “ไปโรงหลอมเหล็กกันเถิด แล้วดูว่าแม่พิมพ์ดาบยาวเป็นอย่างไรบ้าง?”
ดาบต่อสู้เหล่านี้เป็นดาบต่อสู้ไร้ใบมีดหรือดาบไร้คมที่เตรียมไว้สำหรับการต่อสู้เสมือนจริงระหว่างทหารผ่านศึกและทหารหญิง ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงปัญหาด้านความคม ดังนั้นจินเฟิงจึงใช้วิธีการที่ง่ายที่สุดในการสร้างมันขึ้นมา
คือทำแม่พิมพ์ จากนั้นก็เทเหล็กหลอมลงไป ก่อนจะทำการขัดเล็กน้อยหลังจากที่มันแข็งตัว ทั้งง่ายและรวดเร็ว
ทุกวันนี้ หม่านชางเป็นคนดูแลโรงหลอมเหล็ก โดยมีจินเฟิงเป็นผู้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับเคล็ดลับและวิธีการที่สำคัญ ตอนนี้จินเฟิงกลายเป็นเจ้าของกิจการที่มีหน้าที่ชี้นิ้วสั่งลูกน้องแล้วจริง ๆ
หม่านชางก็พอใจกับเรื่องนี้เช่นกัน
ไม่เพียงแต่โรงหลอมเหล็กเท่านั้น แต่ยังรวมถึงกิจการอื่น ๆ ด้วย
โรงงานสิ่งทอถูกส่งมอบให้กับถังตงตง ส่วนเรื่องการดูแลทหารผ่านศึกก็มอบหมายให้กับจางเหลียง ทหารหญิงชิ่งมู่หลานก็เป็นผู้ดูแล โรงเผาอิฐและพื้นที่ก่อสร้างก็เป็นหน้าที่ของหัวหน้าหมู่บ้านทั้งสอง
เว้นแต่จะมีสถานการณ์พิเศษ โดยปกติแล้วจินเฟิงจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว
จางเหลียงเองก็ได้เรียนรู้จากจินเฟิงในเรื่องนี้ กองทหารผ่านศึกที่มีสมาชิกไม่ถึงร้อยคนถูกเขาแบ่งออกเป็นสามส่วน
ทหารผ่านศึกมากกว่าสามสิบนายที่เขาคัดเลือกในตอนแรกถูกส่งมอบให้กับสหายของเขา ฟางเหลย ซึ่งจะรับผิดชอบหน้าที่หลักในการฝึกอบรมรายวันและปกป้องความปลอดภัยของโรงงานหลายแห่งในซีเหอวาน
ทหารผ่านศึกอีกกว่าสี่สิบคนจากภูเขาเถี่ยกว้านและภูเขาเมาเมา จางเหลียงส่งมอบให้กับเจิ้งฟาง
ส่วนที่เหลือเป็นผู้คุ้มกันส่วนตัวของจินเฟิง ซึ่งเถี่ยฉุยจะรับหน้าที่ดูแลโดยที่ไม่จำเป็นต้องรอคำสั่งจากจางเหลียง
เมื่อจินเฟิงต้องการคน จางเหลียงจะเป็นผู้รวบรวมกำลังพล แต่ในสถานการณ์ปกติทุกคนก็จะรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเอง
ด้วยวิธีนี้จางเหลียงจึงไม่เหนื่อยมากนัก และเจิ้งฟาง ฟางเหลย และเถี่ยฉุยก็จะได้รับการฝึกฝนด้านนี้ด้วยเช่นกัน
แน่นอนว่าการทำเช่นนี้ก็มีข้อเสีย ตัวอย่างเช่น เจิ้งฟางอาจมีความคิดแปลกแยกออกไปหลังจากกลายเป็นผู้ดูแล
ทว่าหากคิดใช้ก็ไม่ควรสงสัย และหากสงสัยก็ไม่ควรใช้ เนื่องจากได้ตัดสินใจให้เจิ้งฟางดูแลแล้วก็ควรให้ความไว้วางใจแก่อีกฝ่ายให้มาก ไม่เช่นนั้นจินเฟิงจะต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง และเขาจะไม่สามารถเติบโตได้แม้ว่าจะทำงานจนหมดแรงก็ตาม
หลังจากทำงานในโรงหลอมเหล็กตลอดบ่าย กว่าจินเฟิงจะได้ออกมาฟ้าก็มืดแล้ว
“สามี เจ้าจะให้หญิงสาวเหล่านั้นค้างคืนกับศพจริง ๆ หรือ?”
ขณะที่กินข้าวกวานเสี่ยวโหรวก็มองออกไปข้างนอก “นี่ก็มืดแล้ว พวกนางจะกลัวหรือไม่?”

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์