บทที่ 167 ค่ำคืนอันมืดมิด
“นี่คืองานในอนาคตของพวกนาง หากพวกนางกลัวก็แค่ลาออกไป”
จินเฟิงวางถ้วยข้าวลงแล้วยืนขึ้นพร้อมพูดว่า “ข้าจะไปที่ลานนวดข้าว เจ้าจะไปด้วยกันหรือไม่?”
“ข้าไม่ไปหรอก”
กวานเสี่ยวโหรวส่ายหัวอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าลานนวดข้าวจะถูกพลิกหน้าดินแล้ว แต่เมื่อเดินผ่านก็ยังคงได้กลิ่นจาง ๆ ของเลือดคลุ้งอยู่ในอากาศ
“เช่นนั้น เจ้าก็รีบเข้านอนเสีย ข้าเองก็ยังไม่แน่ใจว่าจะกลับเมื่อใด เจ้าไม่ต้องรอนะ”
จินเฟิงยืนขึ้นและตะโกนออกไปข้างนอก “เถี่ยฉุย เตรียมโคมไฟไว้สองอัน!”
ในชีวิตก่อนของเขา ชายหนุ่มคุ้นเคยกับเมืองที่มีไฟถนนอยู่ทุกหนทุกแห่ง แม้แต่ในถนนห่างไกลบางแห่งที่ไม่มีไฟ ไฟนีออนจากอาคารสูงก็ยังส่องผ่านทำให้สามารถมองเห็นอะไรได้บ้าง
ต้าคังไม่มีไฟข้างถนน หากคืนไหนมีพระจันทร์ก็ไม่มีปัญหา เพราะต้าคังยังไม่มีอุตสาหกรรมที่ก่อให้เกิดมลภาวะ อากาศก็ดีมาก เมื่อพระจันทร์เต็มดวง หากเป็นสตรีที่มีสายตาดีก็สามารถร้อยเข็มใต้แสงจันทร์ได้
แต่หากอยู่ในช่วงข้างแรมหรือช่วงที่สภาพอากาศไม่ดีจะไม่สามารถมองเห็นดวงจันทร์ยามค่ำคืนได้ ในหมู่บ้านบนภูเขาจะมืดมิดเป็นอย่างยิ่ง
ในคืนนั้นหากใครไม่มีโคมไฟก็เหมือนคนตาบอด เดินไปเข้าห้องน้ำตอนกลางคืนก็อาจตกหลุมได้
วันนี้เป็นคืนเดือนมืด ท้องฟ้าไม่มีดาวเลยแม้แต่ดวงเดียว หากจะบอกว่าไม่เห็นแม้แต่ปลายนิ้วของตนก็คงไม่เกินจริงนัก
ผู้คุ้มกันทั้งสองเดินนำไปด้านหน้าโดยถือโคมไฟเอาไว้ จินเฟิงเดินตรงกลาง ขณะที่เถี่ยฉุยเดินปิดท้าย พวกเขาค่อย ๆ เดินไปยังทางเข้าหมู่บ้าน
จินเฟิงขอให้หญิงสาวค้างคืนกับศพเพียงเพื่อฝึกความกล้าหาญ ดังนั้นจึงไม่มีการเตรียมโคมไฟไว้ให้พวกนาง
ยามนี้ทั้งลานนวดข้าวมืดสนิท มีเพียงแสงจากบ้านเรือนที่อยู่ห่างจากลานนวดข้าวไปหลายจั้งเท่านั้นที่ส่องผ่าน
ผู้คุ้มกันผลักประตูไม้ออก จากนั้นหลิวเถี่ยก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับสมาชิกในกองกำลังคุ้มกันอีกหลายคน
“จินเฟิง มาได้อย่างไร?”
“ข้าอยากมาดูสักหน่อย” จินเฟิงถาม “ให้พวกนางกินข้าวเย็นแล้วหรือ?”
“ให้แล้ว โจ๊กคนละกระบวย หมั่นโถวคนละสองลูก และเนื้อตุ๋นคนละชาม”
หลิวเถี่ยพูดด้วยรอยยิ้ม “แต่ข้าเดาว่าพวกนางคงกินไม่ลงหรอก”
“พี่เถี่ยจือ เจ้าพูดผิดแล้ว โจวจิ่นผู้นั้นกินเก่งมาก อีกทั้งยังเอ่ยถามว่าขอน้ำต้มเนื้อเพิ่มได้หรือไม่”
ทหารยามคนหนึ่งเอ่ยตอบ
“โจวจิ่นผู้นี้แปลกคนนัก โจรจำนวนมากเสียชีวิตในลานนวดข้าว และพวกเขาก็ตายอย่างอนาถ ข้าเองยังรู้สึกกลัวเมื่อเดินผ่านที่นี่ โจวจิ่นเป็นแค่สตรีตัวเล็ก ๆ แต่นางไม่กลัวแม้เพียงนิด”
สมาชิกกองกำลังคุ้มกันคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “ข้าได้ยินมาว่าบิดาของนางเป็นคนแบกศพ”
“พวกเจ้าจะไปรู้อะไร ตระกูลโจวเป็นอู่จั้วมาโดยตลอด และก็ถูกส่งต่อไปยังรุ่นปู่ของนาง ทว่าปู่ของนางเสียชีวิตในขณะที่เขาอายุไม่ถึงสี่สิบปีด้วยซ้ำ เขาจึงไม่มีเวลาได้ถ่ายทอดวิชาทำให้บิดาของนางกลายเป็นคนแบกศพแทน”
ทหารยามคนหนึ่งพูดออกมาอย่างมีลับลมคมใน “บิดาของโจวจิ่นอยากให้พี่ชายของนางเริ่มทำงานด้านชันสูตรอีกครั้ง เพื่อเป็นการส่งต่อให้ทายาทรุ่นหลังได้สืบทอดวิชา โจวจิ่นก็อยากเรียนเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่นางเป็นเด็กหญิงและบิดาก็ไม่ได้สนับสนุน ดังนั้นนางจึงทำได้แค่นั่งยอง ๆ ข้างพี่ชายแล้วมองดูเท่านั้น ถึงกระนั้นหญิงสาวคนนี้ก็เห็นศพมามากมายตั้งแต่นางเด็ก ๆ แล้วนางจะกลัวได้อย่างไร?”
“มีเรื่องนี้ด้วยหรอกหรือ?”
จินเฟิงสนใจคำพูดของทหารยาม “เหลยจื่อ เจ้าไปได้ยินเรื่องนี้มาจากที่ใด? เชื่อถือได้หรือไม่?”
เขาได้ยินมาว่าพ่อของโจวจิ่นเป็นคนแบกศพ แต่เขาไม่รู้ว่าปู่ของโจวจิ่นเป็นเจ้าหน้าที่ชันสูตร
อู่จั้วหรือเจ้าหน้าที่ชันสูตรนั้นคล้ายคลึงกับแพทย์นิติเวชในยุคสมัยปัจจุบันที่ต้องมีการชันสูตรพลิกศพบ่อยครั้ง
ถ้าโจวจิ่นได้เรียนรู้วิชาการชันสูตร นางก็คงจะเป็นผู้สมัครที่มีคุณสมบัติดีที่สุดในการเป็นหมอทหาร
เหลยจื่อหนึ่งในสมาชิกกองกำลังคุ้มกันตื่นเต้นเล็กน้อยเมื่อเห็นจินเฟิงถามเกี่ยวกับเรื่องนี้
เขาพับแขนเสื้อขึ้นแล้วพูดว่า “จินเฟิง ท่านอาหญิงของข้ามาจากหมู่บ้านเหล่าเหอ และบ้านเกิดของโจวจิ่นก็คือหมู่บ้านเหล่าเหอเช่นกัน ข้ารู้จักนางมาตั้งแต่เด็ก ทว่าทุกคนบอกว่านางมักจะอยู่กับซากศพและมีพลังลบ ข้าจึงไม่กล้าเล่นกับนาง”
“บิดากับพี่ชายของนางอยู่ที่บ้านหรือไม่?”
ตอนนี้ที่ซีเหอวานขาดคนที่มีความสามารถด้านนี้ เมื่อเขาพบตระกูลผู้เชี่ยวชาญด้านดังกล่าว จินเฟิงก็ไม่อยากที่จะปล่อยพวกเขาให้หลุดมือ
“พวกเขาทั้งสองคนไม่อยู่ที่นั่นแล้ว เมื่อปีที่แล้วทั้งสองคนไปที่อำเภอหลินเพื่อขนย้ายศพ และพวกเขาก็เจอน้ำป่าแบบฉับพลัน ทั้งคู่หายตัวไปพร้อมกัน”
เหลยจื่อตอบว่า “ตอนนี้ครอบครัวของนางเหลือแต่พี่สะใภ้ มารดา และหลานชายอีกสามคน เพราะไม่มีทางเลือก โจวจิ่นจึงต้องมาที่หมู่บ้านของเราเพื่อเข้าร่วมกองทัพสตรี”



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์