บทที่ 169 ความคิดสกปรก!
เมื่อจบคาบเรียนในตอนเย็น จินเฟิงก็เรียกให้โจวจิ่นรั้งอยู่ต่อ
“ท่านอาจารย์ มีเรื่องอะไรหรือ?”
โจวจิ่นถามด้วยความเคารพ
ส่วนใหญ่แล้วหญิงสาวคนอื่นเข้าร่วมกลุ่มหมอทหารเพียงเพราะหมดหนทางในชีวิต และไม่มีความสามารถมากพอที่จะต่อสู้กับพวกโจร มีเพียงนางเท่านั้นที่มาสมัครด้วยความเต็มใจ
แต่โจวจิ่นคิดว่าโอกาสเหล่านี้คือสิ่งที่จินเฟิงหยิบยื่นให้
ทำให้นางเต็มไปด้วยความชื่นชมและความกตัญญูต่อบัณฑิตหนุ่ม
“โจวจิ่น ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าปรับตัวได้หรือยัง?” จินเฟิงเดินไปถามไป
“ค่อนข้างดี อาหารและที่พักก็ดีกว่าที่บ้านข้ามาก” โจวจิ่นเดินตามจินเฟิงไปอย่างรวดเร็ว
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว”
จินเฟิงหยุดและถามว่า “มีบางอย่างที่ข้าอยากจะสอนเจ้าเพียงลำพัง เจ้าอาจจะต้องย้ายไปอยู่ที่บ้านข้าตรงเรือนด้านหน้า เจ้ายินดีหรือไม่?”
หลิวเถี่ยซื้อเหล้าขาวกลับมาแล้ว และหมั่นโถวที่เก็บเอาไว้ก็เริ่มขึ้นราพอดี เขาสามารถกลั่นแอลกอฮอล์ให้บริสุทธิ์และลองทำเพนิซิลลิน*[1] ได้ จินเฟิงจึงอยากที่จะถ่ายทอดวิชาเหล่านี้ให้โจวจิ่น
จากการสังเกตไม่กี่วันนี้ จินเฟิงสามารถยืนยันได้ว่าอีกฝ่ายชอบงานหมอทหารจริง ๆ แต่จินเฟิงไม่สนใจเรื่องการแพทย์เลย เขาจึงตั้งใจจะถ่ายทอดสิ่งต่าง ๆ ให้โจวจิ่นและปล่อยให้นางไปศึกษาต่อด้วยตัวเอง
“สอนข้าคนเดียวหรือ?”
ทันใดนั้นดวงตาของคนฟังก็สว่างขึ้น และนางก็พยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ข้ายินดี ข้ายินดี!”
“เช่นนั้นก็ดี เจ้ากลับไปเก็บข้าวเก็บของเถิด แล้ววันนี้หรือวันพรุ่งเจ้าค่อยย้ายไป”
“รับทราบ!”
โจวจิ่นวิ่งกลับไปเก็บข้าวของอย่างมีความสุข
เมื่อจินเฟิงกลับไปที่บ้าน รุ่นเหนียงก็นำอาหารขึ้นโต๊ะแล้ว
กวานเสี่ยวโหรว ถังตงตง เสี่ยวเอ๋อและชิ่งมู่หลานกำลังพูดคุยกันที่โต๊ะและรอให้จินเฟิงกลับมา
แม้ว่าจินเฟิงจะเน้นย้ำหลายครั้งว่าพวกนางไม่จำเป็นต้องรอให้เขากลับมาและสามารถกินข้าวกันก่อนได้ แต่กวานเสี่ยวโหรวก็ยังคงยืนกราน
และจินเฟิงก็เริ่มชินกับมันอย่างช้า ๆ
“เจ้ามัวทำสิ่งใดอยู่ถึงกลับมาเอาป่านนี้? อาหารเย็นหมดแล้ว”
ชิ่งมู่หลานไม่พอใจและรีบบอกจินเฟิงให้นั่งลงอย่างรวดเร็ว
“เจ้านี่มากความเสียจริง ช่างสงสัยไปหมด”
จินเฟิงไม่ชอบหญิงสาวคนนี้ เขาจึงจงใจค่อย ๆ ล้างมือด้วยสบู่ก่อนที่จะเดินไปที่โต๊ะและหยิบตะเกียบอย่างอ้อยอิ่ง
ทันทีที่เขาเคลื่อนไหวตะเกียบ ชิ่งมู่หลานและเสี่ยวเอ๋อก็เริ่มต่อสู้แย่งชิงน่องไก่ทันที
สุดท้ายแล้วเสี่ยวเอ๋อยังเด็กและอ่อนแอที่สุด นางจึงไม่สามารถต่อสู้กับชิ่งมู่หลานที่ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาตั้งแต่ยังเยาว์ได้ น่องไก่จึงตกไปอยู่ในถ้วยข้าวของชิ่งมู่หลานในที่สุด
“พี่มู่หลาน ข้าเป็นเด็ก พี่เป็นผู้ใหญ่ พี่ไม่ควรแย่งชิงอาหารไปจากข้านะ” เสี่ยวเอ๋อพูดด้วยความไม่พอใจ
“แต่ข้าเป็นแขกและวันนี้ข้าก็เหนื่อยจากการฝึกซ้อม เจ้าน่าจะรู้ความและยกน่องไก่นี้ให้แก่ข้านะ”
ชิ่งมู่หลานจงใจแกล้งเสี่ยวเอ๋อ
ในฐานะบุตรสาวของอดีตผู้ปกครองมณฑลซื่อชวนและน้องสาวของผู้ปกครองมณฑลซื่อชวนคนปัจจุบัน มีอาหารเลิศรสใดบ้างที่ชิ่งมู่หลานไม่เคยได้ลิ้มลอง?
เหตุผลที่นางชอบมากินอาหารเย็นที่บ้านจินเฟิงเป็นเพราะฝีมือของรุ่นเหนียง ที่สำคัญคือนางชอบบรรยากาศในการกินข้าวของบ้านหลังนี้
ยิ่งครอบครัวใหญ่เท่าไรก็ยิ่งมีกฎเกณฑ์มากขึ้นเท่านั้น ชิ่งมู่หลานถูกสอนมาตั้งแต่เด็กว่าห้ามพูดขณะกินข้าวและเข้านอน ตอนกินข้าว สมาชิกแต่ละคนในครอบครัวจะกินอาหารของตัวเอง ห้ามใครส่งเสียงอะไรเด็ดขาด หากใครทำผิดกฎก็จะโดนแม่นมลงโทษ
ครอบครัวของจินเฟิงไม่เคยมีกฎเกณฑ์ดังกล่าว ทั้งครอบครัวของเขารวมไปถึงรุ่นเหนียงต่างก็รวมตัวกันที่โต๊ะและพูดคุยเรื่องราวต่าง ๆ ในแต่ละวัน
ในความเห็นของชิ่งมู่หลาน นี่คือบรรยากาศของการกินข้าวร่วมกัน
ดังนั้นการแกล้งเสี่ยวเอ๋อเป็นสิ่งที่นางตั้งใจทำทุกครั้งเพื่อสร้างบรรยากาศที่ว่า…
“พี่เหนื่อยหลังจากออกกำลังกายมาทั้งวัน ข้าก็เหนื่อยหลังจากวิ่งมาทั้งวันเช่นกัน”
เมื่อเสี่ยวเอ๋อเห็นว่าชิ่งมู่หลานไม่คืนน่องไก่ให้นางแน่ จึงขอความเห็นใจต่อจินเฟิงและแสดงการประท้วง “พี่เขย ดูท่านพี่มู่หลานสิ นางมักจะรังแกข้าเสมอ!”
“เจ้าก็เลิกแกล้งนางได้แล้ว”
จินเฟิงเหลือบมองชิ่งมู่หลานด้วยความไม่พอใจ จากนั้นจึงคีบน่องไก่จากจานดินเผาลงในถ้วยข้าวของเสี่ยวเอ๋อ
ในยุคสมัยนี้ การที่ให้หญิงสาวย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านของตน ส่วนใหญ่ก็มีความเป็นไปได้แค่สองทางเท่านั้น
หนึ่งคือเป็นญาติเหมือนเสี่ยวเอ๋อ
หรือสองก็คือต้องการหาภรรยาเพิ่ม
เพียงแต่จินเฟิงเป็นคนที่ได้รับการศึกษาจากยุคสมัยใหม่ เขาเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เป็นนิสัยที่ไม่ดีของระบบศักดินาและไม่เคยคำนึงถึงพวกมันเลย
สำหรับเขาแล้ว ขอแค่ถังตงตง รุ่นเหนียงและกวานเสี่ยวโหรวเชื่อมั่นใจตัวเขา เขาก็ไม่สนใจว่าคนอื่นจะพูดอะไร
แต่บัณฑิตหนุ่มลืมไปว่า แม้เขาจะไม่ได้รับถังตงตงและรุ่นเหนียงเป็นอนุภรรยา แต่ในสายตาของชาวบ้าน พวกนางก็ถือเป็นอนุภรรยาของเขาแล้ว
และจะไม่มีใครกล้ามาขอพวกนางไปร่วมเรือน เว้นแต่จินเฟิงจะตายไปเสียก่อน
แม้ว่าจินเฟิงจะไม่เคยแตะต้องพวกนางก็ตาม
นี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในต้าคัง
“ความคิดของพวกเจ้าสกปรกยิ่งนัก!”
จินเฟิงชี้ไปที่ชิ่งมู่หลานและคนอื่น ๆ แล้วเอ่ย “ข้าขอให้โจวจิ่นย้ายเข้ามาเพียงเพราะข้าอยากสอนบางอย่างให้แก่นาง แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการรับภรรยาเพิ่ม?”
“อะไรนะ?”
ชิ่งมู่หลาน กวานเสี่ยวโหรว และคนอื่น ๆ ต่างก็ตกตะลึงอีกครั้ง
“เจ้าจะรับโจวจิ่นเป็นลูกศิษย์งั้นหรือ? มิน่าเจ้าถึงได้ให้นางมาอาศัยที่บ้าน”
ถังตงตงเป็นคนแรกที่รู้สึกตัวและพูดด้วยความประหลาดใจ
ในต้าคัง มีคำพูดที่ใช้เรียกผู้ถ่ายทอดความรู้ว่าพ่อเช่นกัน ความสัมพันธ์ระหว่างลูกศิษย์กับอาจารย์ก็เหมือนกับพ่อกับลูก ลูกศิษย์สามารถอาศัยอยู่ในบ้านของอาจารย์ได้ตามธรรมชาติ
เพียงแต่อาจารย์และลูกศิษย์ต่างเพศในต้าคังนั้นน้อยนัก แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ช่างตีเหล็กจะรับลูกศิษย์หญิง และเป็นไปไม่ได้ที่ช่างเย็บปักจะรับลูกศิษย์ชาย
ในเวลานี้ชิ่งมู่หลานจึงมองไปที่จินเฟิงอย่างไม่เข้าใจ
[1] เพนิซิลลิน (Penicillin) : ยาปฏิชีวนะตัวแรกที่ถูกค้นพบในโลก เดิมทียานี้ได้มาจากสารที่ผลิตโดยเชื้อราเพนิซิลเลียม มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
[2] ห้องหู (耳房) : เอ่อร์ฝาง หรือ ห้องหู มีชื่อเรียกอย่างนั้นเพราะเป็นห้องที่ขนาบห้องหลักของบ้านสองฝั่ง คล้ายกับหูที่ขนาบกับใบหน้า มักใช้เป็นที่พักของเด็ก ลูกสาว คนรับใช้ บ้างก็ใช้เป็นห้องเก็บของหรือห้องครัว ขึ้นอยู่กับขนาดของบ้าน

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์