บทที่ 171 ดาบไร้คม
“แม่ทัพ?”
กวานเสี่ยวโหรวมองโจวจิ่นอย่างสงสัย
นางรู้ว่าอาเหมยเป็นผู้นำกองกำลังทหารหญิง แต่นางไม่รู้ว่าแม่ทัพที่โจวจิ่นกำลังพูดนั้นหมายถึงใคร
“แม่ทัพคือมู่หลาน และผู้นำกองกำลังคืออาเหมย”
จินเฟิงกล่าวพร้อมกับกลั้นยิ้ม
นับตั้งแต่ก่อตั้งกองทัพสตรี ชิ่งมู่หลานได้ขอให้ทหารหญิงเรียกนางว่าแม่ทัพ ทหารหญิงก็คงเรียกจนติดปากแล้ว
“อ้อ!”
กวานเสี่ยวโหรวมองชิ่งมู่หลานด้วยท่าทางแปลก ๆ
ไม่ว่าชิ่งมู่หลานจะมีผิวหน้าหนาแค่ไหน ในตอนนี้นางก็ยังเขินอายอยู่ดีจึงรีบเปลี่ยนเรื่องทันที จากนั้นก็มองดูโจวจิ่นแล้วถามว่า
“โจวจิ่น เจ้ายินดีเทิดทูนอาจารย์จินเป็นอาจารย์ของเจ้าหรือไม่?”
“หืม?”
โจวจิ่นอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
ทำไมจู่ ๆ จึงถามนางเช่นนี้เล่า?
แต่ในช่วงบ่ายจินเฟิงขอให้นางย้ายมาที่นี่ โจวจิ่นจึงคิดถึงความเป็นไปได้นี้
นางกลับมามีสติสัมปชัญญะอย่างรวดเร็วและคุกเข่าลงกับพื้นทันที “ศิษย์ขอกราบคารวะท่านอาจารย์!”
หลังจากพูดจบ นางก็คำนับจินเฟิงสามครั้ง
จินเฟิงทำอะไรไม่ถูกและรีบดึงตัวโจวจิ่นขึ้นมา
แต่ใครจะคิดว่าหลังจากเขาดึงโจวจิ่นขึ้นมาแล้ว นางจะคุกเข่าลงไปหากวานเสี่ยวโหรวอีกครั้ง “โจวจิ่นทำความเคารพอาจารย์หญิง ข้าขอคำนับอาจารย์หญิง!”
“ลุกขึ้นเถิด ลุกขึ้นเถิด!”
กวานเสี่ยวโหรวไม่คิดว่าโจวจิ่นจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ กว่านางจะตอบสนอง โจวจิ่นก็ทำการคำนับเสร็จแล้ว
“ไอหยา บนร่างกายของข้าไม่มีเครื่องประดับอะไรติดตัวเลย…”
กวานเสี่ยวโหรวเคยชินกับความยากลำบากและไม่ค่อยสวมใส่เครื่องประดับ นางลูบคลำตามร่างกายของตนเองแต่ไม่พบสิ่งใดที่จะมอบให้โจวจิ่นได้
ในที่สุดนางก็เอื้อมมือไปดึงปิ่นกลัดมวยผมบนศีรษะออกอย่างรวดเร็ว “ข้าไม่มีของมีค่าใดติดตัว ปิ่นกลัดมวยผมนี้ อาจารย์ของเจ้านำมันกลับมาจากชายแดนและมอบให้แก่ข้า ข้าให้เจ้า”
“อาจารย์หญิง ท่านอาจารย์มอบสิ่งนี้ให้แก่ท่าน มันไม่เหมาะกับข้าหรอก”
โจวจิ่นรีบโบกมือ
“ต่อจากนี้เราจะเป็นครอบครัวเดียวกัน มีสิ่งใดไม่เหมาะสมอย่างนั้นหรือ?”
กวานเสี่ยวโหรวนำปิ่นกลัดลงบนมวยผมของโจวจิ่น “อย่ายุกยิกไปมา ไม่เช่นนั้นข้าจะโกรธแล้ว”
“โจวจิ่นขอบคุณอาจารย์หญิง”
โจวจิ่นไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องโค้งคำนับและยอมรับมัน
“เด็กโง่ เจ้ารีบคำนับเร็วเกินไปแล้ว ไว้ถึงตอนที่ทำพิธีไหว้ครูเจ้าค่อยคำนับก็ได้”
ถังตงตงพูดติดตลกด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เป็นไร ข้ายินดีที่จะคำนับท่านอาจารย์และอาจารย์หญิงทุกวัน!”
โจวจิ่นพูดด้วยรอยยิ้ม
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าตั้งแต่จินเฟิงรับนางเป็นศิษย์ นางก็มีความสุขมาก
“ท่านอาจารย์จิน ข้ายินดีด้วย”
ชิ่งมู่หลานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ตอนนี้ไม่เรียกข้าว่าคนแซ่จินแล้วหรือ?”
จินเฟิงเอ่ยด้วยความขุ่นเคืองเล็ก ๆ
“ผู้ใดจะกล้าดูหมิ่นท่านอาจารย์กันเล่า?”
ชิ่งมู่หลานแสร้งทำเป็นมึนงง
จินเฟิงเหลือบมองชิ่งมู่หลานที่อยู่ข้าง ๆ และขี้เกียจเกินกว่าจะต่อปากต่อคำกับนาง
“ท่านอาจารย์ อย่าโกรธเคืองข้าเลย ข้าผิดไปแล้ว”
ชิ่งมู่หลานยกยิ้มและยอมรับความผิดพลาด จากนั้นจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “อย่างไรก็ตาม การรับลูกศิษย์ถือเป็นเรื่องใหญ่ เจ้าเตรียมจัดพิธีไหว้ครูเมื่อใดหรือ?”
“ฤกษ์ที่ดีคือฤกษ์ที่สะดวก พรุ่งนี้แล้วกัน อีกเดี๋ยวข้าจะไปที่โรงหลอมเหล็กแล้วถามหม่านชางก่อนว่าเขาเต็มใจหรือไม่”
จินเฟิงไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก
“เขากล้าที่จะไม่เต็มใจด้วยหรือ?”
ถังตงตงและหม่านชางค่อนข้างสนิทกันอยู่แล้ว นางกำหมัดแน่นและพูดว่า “หากว่าเขาไม่ยินดี ข้าจะไปบอกพี่เหลียงให้ช่วยหักขาเขาอีกข้าง!”
“เจ้าไปเรียนรู้ความร้ายกาจนี้มาตั้งแต่เมื่อใด? ถึงกับคิดจะหักขาของเขาแล้วหรือ เช่นนั้น เหตุใดเจ้าไม่โยนเขาเข้าเตาเผาแล้วเผาเสียเลยเล่า?”
จินเฟิงพูดด้วยความโกรธ “ในอนาคตไปมาหาสู่กับชิ่งมู่หลานให้น้อยลงหน่อย”
“หืม เจ้าพูดให้ชัดเจนนะ ข้าเป็นอย่างไรหรือ?!”
ชิ่งมู่หลานที่เพิ่งเอ่ยขอโทษเกิดความขุ่นเคืองขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินสิ่งนี้ “เจ้าพูดมาให้มันชัดเจนเลยดีกว่าว่าคนอย่างข้ามันเป็นอย่างไร?!”
“เจ้าก็เป็นวีรสตรีที่เก่งกาจไม่แพ้วีรบุรุษอย่างไรเล่า พอใจหรือยัง?”
แม้ว่าชิ่งมู่หลานจะมีประสบการณ์การใช้อาวุธมาบ้าง แต่ดาบทมิฬก็ถือเป็นอาวุธที่ดีที่สุดเท่าที่นางเคยเห็น
หากอาวุธวิเศษประเภทนี้วางขายในเปี้ยนจิง แม้ว่าจะมีราคาจะสูงถึงหนึ่งร้อยตำลึงเงิน ครอบครัวผู้มีฐานะเหล่านั้นก็คงจ้องตาไม่กะพริบ
และดาบทมิฬนี้ก็มีแค่จินเฟิงเท่านั้นที่สามารถผลิตมันออกมาได้…
ตอนนี้จำนวนทหารชายและทหารหญิงมีอยู่เท่า ๆ กัน
“นี่คือดาบไร้คมที่พวกเจ้าทำขึ้นเพื่อพวกข้าหรือ?”
ชิ่งมู่หลานหันไปอีกด้านของเตาและเห็นกองดาบยาวกองหนึ่งอยู่บนพื้น นางหันความสนใจออกไปจากเตาหลอมเหล็กทันที
นางหยิบดาบขึ้นมาแล้วชักออกจากฝักอย่างชำนาญ
“เป็นอย่างไรบ้าง?”
จินเฟิงถาม
“รูปทรง ขนาด น้ำหนัก และความรู้สึกคล้ายกับดาบทมิฬมาก ดาบนี่ดีและเหมาะสำหรับการฝึกซ้อมยิ่งนัก”
ชิ่งมู่หลานพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
“เจ้าพอใจก็ดีแล้ว” จินเฟิงมองไปที่หม่านชาง “ยังขาดอีกเท่าใด?”
“ขาดอีกแค่สิบเล่มเท่านั้น” หม่านชางตอบ
“เอาล่ะ มู่หลาน เช่นนั้นพรุ่งนี้ยามบ่ายเจ้าส่งคนมารับของก็แล้วกัน”
จินเฟิงกล่าว
“ให้หม่านชางทำงานล่วงเวลาได้หรือไม่? ข้าอยากรีบใช้มันพรุ่งนี้เช้า”
ชิ่งมู่หลานแทบรอไม่ไหว
“ไม่ได้! หม่านชางจะมาทำงานที่นี่ตอนฟ้าสว่าง และทำงานในโรงหลอมเหล็กเป็นเวลาสามถึงสี่เค่อเท่านั้น หากให้เขาทำงานล่วงเวลาทั้งคืน เจ้ากะให้เขาหมดแรงตายไปเลยหรือ!”
จินเฟิงปฏิเสธคำขอของชิ่งมู่หลานอย่างตรงไปตรงมา
แม้ว่าจะมีแม่พิมพ์ แต่ก็ยังต้องขัดดาบหลังจากการหล่อ หากดาบยาวก็ใช้เวลานานอยู่พอสมควร
ถ้าทำดาบเพิ่มอีกสิบเล่ม คืนนี้หม่านชางคงไม่ต้องนอนแล้ว
งานตีเหล็กเป็นงานที่ต้องใช้แรงกายมาก หากทำงานอย่างต่อเนื่องทั้งวันทั้งคืนจะเหนื่อยเกินไป
“ไม่ได้ก็ไม่ได้ เหตุใดต้องดุกันด้วย?”
ชิ่งมู่หลานพึมพำ “ยังไม่ได้รับเขาเป็นศิษย์เสียหน่อย รอหม่านชางเข้าพิธีไหว้ครูในวันพรุ่งนี้ก็ยังไม่สายที่เจ้าจะปกป้องเขา!”
คนพูดไม่ได้คิด แต่คนฟังนั้นได้ยินเต็มสองหู
ราวกับถูกฟ้าผ่า หม่านชางคว้าแขนของชิ่งมู่หลานแล้วถามว่า “เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอย่างไรนะ?”

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์