บทที่ 194 บ้าไปแล้ว
นับตั้งแต่ ‘ทุกข์ของชาวนา’ โด่งดังไปทั่วทั่งกวางเหยวียน มันก็ได้รับการยกย่องจากบัณฑิตหลายคน
สำนักศึกษาหลายแห่งสอนบทกวีนี้แก่เด็ก ๆ ในรูปแบบบทกวีที่ให้ความรู้พื้นฐานแก่ผู้ที่เริ่มศึกษาเล่าเรียน
ทุกคนรู้ดีว่าผู้แต่งบทกวีนี้เป็นชาวจินชวนนามว่าจินเฟิง แต่ไม่มีใครเคยเห็นเขาเลย
สำหรับความนิยมด้านวรรณกรรมในต้าคัง ทุกคนต่างก็บูชากวีอย่างกระตือรือร้น เมื่อพวกเขารู้ว่าจินเฟิงมาที่หอวาโยวสันต์ บัณฑิตหลายคนก็แทบเสียสติ
เช่นเดียวกับยุคสมัยใหม่ที่บัณฑิตหนุ่มจากมา เมื่อเหล่าแฟนคลับรู้ว่าไอดอลที่พวกเขาชื่นชอบมาพักอยู่ในโรงแรมเดียวกันทุกคนต่างก็แทบคลั่ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบัณฑิตที่เข้าร่วมงานเลี้ยงน้ำชาของถังเสียวเป่ยร่วมกับจินเฟิง พวกเขายืดหลังตรงทันที
“ตอนแรกข้าก็ไม่ได้ใส่ใจนัก แต่เมื่อได้ยินสหายโจวทักเช่นนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนแต่งบทกวีปลูกข้าวตอนแดดกล้านั่นจริง ๆ!”
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าไม่คิดว่าข้าจะมีโอกาสได้ดื่มชากับนายน้อยจินผู้มีความสามารถด้านการประพันธ์ที่ยอดเยี่ยมมาก่อน”
“เจ้าเลิกโยกโย้ได้แล้ว ไหนเจ้าว่ามาสิว่าท่านอาจารย์จินมีหน้าตาอย่างไร?”
“แน่นอนว่าเขาสง่างามราวกับต้นหยก”
“เจ้าพูดจริงหรือหลอก?”
“แน่นอนว่าจริง! แม่นางเสียวเป่ยยังเลือกเขาให้อยู่ต่อเพื่อพูดคุยกันตามลำพังเลย ข้าเพิ่งเห็นพวกเขาไปที่สวนด้านหลัง”
“ถ้าเช่นนั้นเราควรไปที่ศาลาดีหรือไม่ ไปดูกัน!”
“ไป ไปกันเถิด!”
เหล่านายน้อยต่างก็แห่แหนกันไปที่สวนด้านหลัง
“ดูนั่นสิ นั่นคือแม่นางเสียวเป่ย และคนข้าง ๆ นางก็คือนายน้อยจินใช่หรือไม่?”
บุรุษสายตาแหลมคมผู้หนึ่งสามารถมองเห็นคนสองที่อยู่ในศาลาได้จากระยะไกล
“นั่นพวกเขา” ทันใดนั้นนายน้อยที่เข้าร่วมงานเลี้ยงน้ำชาคนหนึ่งก็ออกมายืนยัน
“นายน้อยโจว เจ้ากับนายน้อยจินได้ร่วมดื่มชาด้วยกัน เจ้าพาพวกข้าไปทำความรู้จักเขาหน่อยได้หรือไม่?”
นายน้อยคนหนึ่งร้องขอ
“เรื่องนี้…” นายน้อยโจวพึมพำ จริง ๆ แล้วเขากับจินเฟิงไม่ได้คุยอะไรกันสักคำ เขาเกาหัวด้วยความเขินอายแล้วพูดว่า “นายน้อยจินและแม่นางเสียวเป่ยกำลังคุยกันอยู่ คงไม่เหมาะที่เราจะขัดขวางอย่างบุ่มบ่าม”
“ใช่ มันไม่ค่อยเหมาะสม”
นายน้อยคนอื่น ๆ พยักหน้าเห็นด้วย
ว่าจบพวกเขาก็หาที่นั่งตามศาลาหลังอื่น ๆ และพูดคุยกันเพื่อรอจินเฟิงและถังเสียวเป่ย ทุกคนต่างก็พูดถึงบทกวีที่จินเฟิงเขียนขึ้นวันนี้
“เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าบทกวีของนายน้อยจินในวันนี้ไม่ดีเท่าบทกวีก่อนหน้า ที่เขาเขียนเรื่องความทุกข์ของชาวนา”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น ‘ทุกข์ของชาวนา’ สะท้อนถึงความอุตสาหะของชาวนาอย่างสุดซึ้ง อ่านแล้วน้ำตาคลอ ทว่า ‘ฉันทลักษณ์ 40 คำ’ นี้เน้นสะท้อนถึงความงดงามของหญิงสาว”
“พวกเจ้าจะไปรู้อะไร การจะเขียนบทกวีขึ้นมาสักบทย่อมต้องดูสถานที่ด้วย หากเป็นวันนี้คงไม่เหมาะที่นายน้อยจินจะแต่งบทกวีอย่าง ‘ทุกข์ของชาวนา’ กระมัง?”
“เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ บทกวีนี่เหมือนจะไม่ดีเท่าที่ควร เขาใส่ความพยายามเพื่อทำให้แม่นางเสียวเป่ยพอใจไปเสียเยอะ”
…
เป็นที่รู้กันว่า ‘ฉันทลักษณ์ 40 คำ’ ของจินเฟิงนั้นเกิดจากการสุ่มขึ้นมาและปรับเปลี่ยนความหมายให้สอดคล้องกับถังเสียวเป่ย เป็นปกติที่จะมีคนชอบและไม่ชอบ
ในขณะที่เถี่ยฉุยที่นอนอยู่หลังต้นหลิวเพื่อคลายร้อน เขาได้ยินเหล่านายน้อยพูดว่าจินเฟิงทำสิ่งนี้เพื่อเอาหน้าจึงเกิดความไม่พอใจทันที เถี่ยฉุยจึงกระโดดออกไปแล้วถามว่า “พวกเจ้าว่าผู้ใด?!”
เหล่านายน้อยที่ไม่ทันได้สังเกตว่ามีคนอยู่หลังต้นไม้ ต่างก็ต้องตกใจกับเสียงของเถี่ยฉุย
เมื่อตระหนักว่าเถี่ยฉุยเป็นผู้ติดตามของจินเฟิง บุรุษที่เข้าร่วมงานเลี้ยงน้ำชาต่างก็ทำตัวไม่ถูก ราวกับพวกเขาถูกจับได้ว่านินทาลับใครลับหลัง
“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว เราแค่ถกกันเรื่องบทกวี”
นายน้อยโจวเป็นคนแรกที่โต้ตอบและอธิบายด้วยรอยยิ้มเฝื่อน ๆ
“ใช่ เรากำลังคุยกันเรื่องบทกวี”
นายน้อยคนอื่น ๆ ต่างก็รีบตอบรับไปในทิศทางเดียวกัน
“ข้าเคยเห็นท่านอาจารย์ของพวกข้าเขียนบทกวีดี ๆ ออกมามากมาย บทกวีวันนี้ของอาจารย์เจ้าดาษดื่นที่สุด”
เถี่ยฉุยเห็นว่าจินเฟิงถูกประเมินต่ำเกินไป ความคิดแรกของเขาคือการช่วยกอบกู้ชื่อเสียงให้อีกฝ่าย
“แล้วนายน้อยจินยังเขียนบทกวีอื่น ๆ อีกหรือไม่?”



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์