บทที่ 254 ตามล่าตัว
ในความเป็นจริง เมื่อจินเฟิงรู้ว่าถังเสียวเป่ยไม่ได้ถูกลักพาตัวโดยตระกูลโจว เขาก็คาดเดาไว้บ้างแล้วว่า มีคนที่อยากจะทำสบู่หอมหรือไม่?
เมื่อได้ยินสิ่งที่หลางจงพูด จินเฟิงก็มั่นใจเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น
“ท่านอาจารย์จิน ไม่ทราบว่าท่านจะซื้อข่าวนี้ในราคาเท่าใดหรือ?”
หลางจงถามด้วยความลำบากใจ
ชายหนุ่มเหลือบมองเขาและชูสามนิ้ว “สามสิบตำลึงเงิน!”
“ห้า… ห้าร้อยตำลึง!”
หลางจงยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “ข้าเห็นหมดแล้ว สบู่หอมนั้นไม่มีส่วนผสมล้ำค่าอะไรอยู่เลย หากเจ้าไม่ให้ข้าห้าร้อยตำลึงเงิน ข้าจะประกาศเรื่องนี้ให้ทุกคนรู้!”
“ท่านท่านหมอเว่ยขู่ข้าอย่างนั้นหรือ?”
น้ำเสียงของจินเฟิงเย็นชา
เหตุการณ์ล่าสุดทำให้เขารู้สึกโกรธมากพอแล้วและหลางจงผู้นี้ก็มาทำให้เขาถึงจุดเดือด
ต้าหลิวเองก็พร้อมที่จะโยนหลางจงออกไปทันทีที่จินเฟิงออกคำสั่ง
“ไม่ใช่… ข้า… ข้าขาดแคลนเงินจริง ๆ…”
นี่อาจเป็นครั้งแรกที่หลางจงผู้นี้กล้าข่มขู่คน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีทักษะมากนัก จินเฟิงระงับโทสะและพยายามปะติดปะต่อเรื่อง
“เจ้าจะขาดเงินหรือไม่แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า”
จินเฟิงกล่าวว่า “เงินสามสิบตำลึงเงินนี้ หากเจ้าต้องการเจ้าก็ว่ามาได้เลย แต่หากไม่ต้องการก็ลืมมันไป ส่วนเรื่องสบู่หอม เจ้าอยากพูดอะไรก็พูดเถิด ข้าไม่สนใจ”
นอกจากเขา ที่ต้าคังไม่รู้วิธีใช้โซดาไฟด้วยซ้ำ หากคนอื่นรู้ว่าสบู่หอมนี้ไม่มีส่วนผสมที่ล้ำค่าแล้วอย่างไรเล่า?
หากต้องการใช้สบู่ก็ต้องมาขอซื้อจากเขาเท่านั้น
หรืออย่างมากที่สุดเขาก็แค่เปลี่ยนสถานที่โกหก… และทำการขายต่อไป
“สามสิบตำลึงเงินยังน้อยไป… หนึ่งร้อยตำลึงเงิน!”
หลางจงยังอยากลองสู้เพื่อเงินอีกครั้ง
“ท่านหมอเว่ย เช่นนั้นลืมเรื่องนี้ไปเสียเถิด”
จิตใจของจินเฟิงไม่ได้อยู่ที่นี่ และเขาก็ร้อนใจอยู่เป็นทุนเดิมแล้ว
สบู่หอมนี้น่าจะมีคนสนใจมากมาย การที่จินเฟิงยินดีจ่ายเงินสามสิบตำลึงเงิน เป็นเพราะคิดว่าบางทีบุคคลที่หลางจงกล่าวถึงอาจเกี่ยวข้องกับบุคคลที่อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวถังเสียวเป่ย
ถ้าไม่ใช่เพราะสิ่งนี้ แม้แต้สามตำลึงเงินเขาก็คงไม่ให้
“สามสิบก็สามสิบ!” หลางจงถอนหายใจ “เป็นนายน้อยเหวินเหยวียน”
“เขาเองหรือ?!”
จู่ ๆ ต้าหลิวก็เบิกตากว้าง พร้อมน้ำเสียงประหลาดใจ “เหตุใดข้าไม่เคยนึกสงสัยเขาเลย”
“นายน้อยเหวินเหยวียนคือใคร?”
ตอนที่ต้าหลิวบอกเล่าเหตุการณ์ เขาเพียงแต่บอกว่าถังเสียวเป่ยมีความขัดแย้งกับโจวเต๋ออู้บุตรชายคนที่สามของตระกูลโจว แต่ไม่ได้เอ่ยถึงโจวเหวินเหยวียน และนี่เป็นครั้งแรกที่จินเฟิงได้ยินชื่อนี้
“ครั้งหนึ่งโจวฉางหลินพาเขามาหาแม่นางเสียวเป่ยเพื่อซื้อสบู่หอม ว่ากันว่าเขามาจากตระกูลโจวในเมืองหลวง แต่แม่นางเสียวเป่ยก็ได้ปฏิเสธไป”
ต้าหลิวกล่าวว่า “ต่อมาแม่นางเสียวเป่ยก็ได้เดินทางไปที่หอวาโยวสันต์เพื่อพบปะพูดคุยกับเสี่ยวถิงพี่สาวคนสนิท นางได้พบเขาอีกครั้งที่นั่น และเขาก็ได้เชิญแม่นางเสียวเป่ยดื่มชาด้วยกัน ทว่าแม่นางเสียวเป่ยก็ปฏิเสธอีกครั้ง เป็นเพราะเหตุนี้โจวเต๋ออู้จึงได้เริ่มพูดจาหยาบคายใส่แม่นาง หากหลางจงไม่ได้เอ่ยถึง ข้าคงคิดไม่ถึงด้วยซ้ำ ผู้คุ้มกันของเขาเป็นคนสูงและแข็งแรง สูงกว่าเถี่ยฉุยเล็กน้อย”
“เบาะแสสำคัญเช่นนี้ เหตุใดเจ้าไม่เคยบอกข้ามาก่อน”
หากไม่มีคนนอกที่นี่ จินเฟิงจะต้องเตะต้าหลิวสองสามทีอย่างแน่นอน
ทักษะการสังเกตสังกาของผู้ชายคนนี้ช้าเกินไป
“ไว้ข้าจะกลับมาชำระความกับเจ้า!”
จินเฟิงชี้ไปที่ต้าหลิวและหยิบตั๋วเงินออกมาสามสิบตำลึงเงินแล้วส่งให้หลางจง
ในขณะที่เขากำลังพูด ทหารผ่านศึกและทหารหญิงอีกหลายคนก็มารวมตัวกันในที่สุด
เมืองกวางเหยวียนนี้ใหญ่มาก เมื่อโหวจื่อยิงธนูที่ประตูเมืองตะวันออก เมืองทางตะวันตกจึงไม่ได้ยิน
โรงเตี๊ยมจ้าวเจียตั้งอยู่ใจกลางเมือง ดังนั้นเมื่อจินเฟิงได้ยินเสียงลูกธนูดอกแรกที่ประตูเมืองด้านตะวันออก เขาจึงทำการยิงอีกลูกหนึ่งเพื่อเรียกทหารผ่านศึกและทหารหญิงที่กำลังลาดตระเวนอยู่ทางตะวันตก
รวมต้าหลิวและคนอื่น ๆ แล้ว ในเวลานี้มีคนมารวมตัวกันมากกว่าหนึ่งโหล และจินเฟิงก็แทบรอไม่ไหว เขาไม่ทันได้ส่งคนไปบอกถังตงตง แต่พากำลังที่เหลือไปที่ประตูเมืองตะวันออกทันที
ขณะนั้นเป็นเวลายามอู่ เนื่องจากเมืองถูกปิดเป็นเวลาหลายวัน ถนนหนทางจึงเต็มไปด้วยผู้คนที่หลั่งไหลออกไปซื้อข้าวของจึงไม่สามารถขี่ม้าเข้าไปได้

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์