บทที่ 27 สร้างกระท่อม
“วางใจเถิด ข้าจะเลี้ยงข้าวท่านอาหญิงก่อนเป็นคนแรกเลย”
จินเฟิงยิ้มและรับปาก
ทันทีที่พูดจบเอ้อร์ส่าวก็มาพร้อมกับสามีของนาง
ตามมาด้วยหลิวเถี่ยและภรรยา และนายพรานลิ่วกับภรรยาพร้อมอนุภรรยา…
สุดท้ายผู้คนก็แห่แหนกันมาทั้งหมู่บ้าน
ตอนนี้จินเฟิงไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย เพราะนายพรานลิ่วและหลิวเถี่ยเป็นผู้พาบุรุษในหมู่บ้านไปตัดต้นไม้ ในขณะที่สตรีอยู่ที่บ้านเพื่อตัดแต่งหญ้าที่ลานบ้าน และบิดเชือกป่าน ทุกคนต่างก็ยุ่งไปตาม ๆ กัน
เมื่อมีคนมาช่วยมากมาย บัณฑิตหนุ่มก็ไม่ตระหนี่ เขาขอให้กวานเสี่ยวโหรวหุงข้าวหม้อใหญ่ และนำกระต่ายที่เหลือมาตุ๋นจนเปื่อย
กลิ่นของเนื้อกระต่ายฟุ้งไปทั่วบริเวณ กลุ่มเด็ก ๆ ที่เล่นอยู่ในลานบ้านพากันหยุดวิ่งเล่นและมารวมตัวกันอยู่รอบประตูห้องครัว
เมื่อมีคนมาก ความต้องการก็มากตามไปด้วย ยังไม่ทันยามอู่บุรุษที่ออกไปขึ้นเขาก็กลับมาพร้อมกับเกวียนลากต้นไม้เล็ก ๆ นับสิบ มันมีขนาดหนาเท่ากับปากชาม
เมื่อยามอู่มาถึงจินเฟิงขอให้เด็ก ๆ กลับบ้านไปเอาถ้วยชามมา โดยแต่ละคนจะได้ข้าวหนึ่งถ้วยและน้ำต้มเนื้ออีกคนละกระบวย
เด็ก ๆ ไม่เคยกินอาหารเลิศรสเหล่านี้มาก่อน แต่ละคนรอไม่ไหว พวกเขาแทบจะกลืนลิ้นของตัวเอง
…
หลังการรับประทานอาหารกลางวันอันแสนคึกคักเสร็จสิ้น พวกผู้ชายก็เริ่มทำงานอีกครั้ง
พวกเขาตั้งกองฟืนไว้ในสวน ก่อนจะทยอยขนฟืนไปมาเพื่อทำการเผา
ไม้ที่ไหม้เกรียมไม่เพียงแต่ทนต่อแมลงและมดเท่านั้น แต่ยังมีความแข็งแรงทนทานอีกด้วย
หลังจากกลุ่มหญิงสาวนำถ้วยชามไปเก็บไว้ที่บ้านเรียบร้อย พวกนางแต่ละคนก็เดินกลับมาอีกครั้งพร้อมหญ้าคาที่หอบเอาไว้ใต้แขนคนละมัดสองมัด
การสร้างกระท่อมไม่มีอะไรซับซ้อน เพียงแค่นำไม้ที่เผาแล้วปักลงใต้ดินเพื่อทำเป็นเสา แล้วมัดคานด้วยเชือก เมื่อได้คานรอบทิศทั้งสี่ก็มุงหลังคาด้วยหญ้าคา จากนั้นจึงโบกโคลนทับไว้ด้านบนอีกที
ขนาดฟ้ายังไม่มืด พวกชาวบ้านก็สร้างกระท่อมเสร็จไปหนึ่งหลังแล้ว ตัวกระท่อมมีขนาดยาวประมาณสามจั้ง กว้างหนึ่งจั้ง
ทว่าข้าวที่เหลือนั้นไม่เพียงพอต่อการหุงเป็นข้าวสวย จินเฟิงจึงขอให้กวานเสี่ยวโหรวทำเป็นโจ๊กข้าวและทำแป้งจี่อีกหนึ่งตะกร้า
เนื้อกระต่ายตุ๋นถูกกินหมดตั้งแต่เที่ยง ในหมู่บ้านก็ขาดแคลนเสบียง เมื่อไม่มีผักบริการแขก บัณฑิตหนุ่มก็ขอให้ภรรยาไปซื้อผักป่ามาสองตะกร้า
ผักป่าเหล่านี้หากนำมาปรุงอย่างดี จะกลายเป็นอาหารมังสวิรัติแสนอร่อย หากเป็นคนรุ่นหลัง ตามร้านอาหารสามารถขายผักเหล่านี้ได้ในราคาหลายสิบหรือหลายร้อยหยวนต่อจาน ทว่าทุกวันนี้ชาวนาไม่มีน้ำมันพอจะจุดตะเกียงด้วยซ้ำ ใครล่ะจะใช้มันอย่างฟุ่มเฟือยในการประกอบอาหาร?
อย่างมากก็แค่โปรยเกลือหยาบ ๆ ลงไป แค่นี้เพื่อนบ้านก็ยกย่องปนอิจฉาว่าเป็นครอบครัวที่ร่ำรวยแล้ว
เพราะปกติคนทั่วไปในยุคนี้เพียงแค่นำผักป่าลวกน้ำร้อนแล้วนำขึ้นโต๊ะทันทีเท่านั้น
ซึ่งผักป่าธรรมดา ๆ เหล่านี้ล้วนมีรสขมฝาด กลืนยาก
แต่ผักป่าที่จินเฟิงทำนั้นไม่เพียงแต่ได้รสเค็มจากเกลือ แต่ยังใส่น้ำมันพืชพร้อมปรุงรสด้วยเครื่องเทศบางอย่างที่ซื้อมาจากตัวอำเภอด้วย
มันดูมันวาว มีสีสดใส ทั้งยังมีรสชาติที่ปราศจากความขมของผักป่าโดยสิ้นเชิง
เด็ก ๆ กินผักเต็มตะกร้าที่ซื้อมาเมื่อครู่หมดลงอย่างรวดเร็ว
“แป้งจี่นี้อร่อยจริงเชียว จินเฟิง เจ้าทำให้ความอยากอาหารของพวกข้าผิดเพี้ยนไปจากเดิม?”
“ผักป่าก็อร่อยเหมือนกัน!”
“จินเฟิง ข้ากินผักป่ามาหลายปีแล้ว แต่ไม่เคยได้กินผักที่อร่อยขนาดนี้มาก่อน หากมีสูตรลับอะไรบอกภรรยาของข้าด้วย”
“เอ้อร์ส่าว เช่นนั้นข้าจะบอกท่านให้ เพียงแค่ท่านใส่น้ำมันพืชและเครื่องเทศอีกเล็กน้อย มันก็อร่อยขึ้นแล้ว”
“ลืมไปเถอะ ครอบครัวของข้าคงไม่สามารถซื้อเครื่องเทศเช่นนั้นได้”
“พี่เฟิง บ้านของเจ้าจะสร้างกระท่อมอีกเมื่อใด? ข้าอยากกินข้าวอีกมื้อ!”
…
ชาวบ้านไม่ว่าบุรุษ สตรี คนแก่หรือเด็ก ต่างก็กินข้าวจนอิ่มท้องก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับไป
จางหม่านชางถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง เขาช่วยจินเฟิงจัดการกับต้นพุทราทั้งสองต้น
ต้นไม้ชนิดนี้เป็นไม้ที่เขาหามาได้ และเป็นต้นไม้ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการทำคันธนูและหน้าไม้
“หม่านชาง สองสามวันนี้เจ้าไม่ต้องขึ้นเขาไปตัดฟืนนะ เจ้ามาที่บ้านของข้าแล้วช่วยข้าตีเหล็ก ดีหรือไม่?”
ชายหนุ่มถามขณะจัดกิ่งไม้บนพื้น
จางหม่านชางได้ยินดังนั้นก็รู้สึกยินดีมาก แต่แล้วก็ส่ายหัว “จินเฟิง นี่เป็นงานฝีมือที่สืบทอดมาจากครอบครัวของเจ้านะ…”
หากถ่ายทอดวิชาหรือทักษะให้ผู้อื่นจนหมด แล้วคนผู้นั้นเกิดมีฝีมือที่ดีกว่าและแย่งอาชีพไปล่ะ ตอนนี้ในซีเหอวานเล็ก ๆ มีช่างตีเหล็กหนึ่งคนถือว่าเพียงพอแล้ว หากมีอีกหนึ่งคนจะทับเส้นทางกันได้
ในยุคนี้ ช่างฝีมือจะถ่ายทอดวิชาให้ลูกหลานเท่านั้น และจะไม่ส่งต่อให้บุคคลภายนอกง่าย ๆ


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์