บทที่ 29 มองพลาด
จางเหลียงรู้สึกว่าอันตรายได้หายไปแล้ว แต่จินเฟิงกลับรู้สึกว่าอันตรายนั้นกำลังใกล้เข้ามามากขึ้น
พวกโจรให้ความสำคัญกับความจงรักภักดี หากมีบางอย่างเกิดขึ้นกับ ‘สหาย’ พวกเขาจะไม่ทำอะไรสักอย่างเพื่อล้างแค้นเลยหรือ?
อย่างที่เรียกกันว่าเลือดต้องล้างด้วยเลือด การล้างแค้นไม่ได้เป็นไปเพื่อรักษาศักดิ์ศรีของกลุ่มและอาณาเขตที่อาศัยเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการยืนหยัดเพื่อสหายที่เสียชีวิตไปแล้วด้วย
ไม่มีโจรคนใดต่อสู้เพื่อคนที่พวกเขาไม่รู้จักหรือไม่ใช่สหาย
เพราะหากว่ามีโจรเช่นนี้อยู่จริง ๆ ชีวิตของพวกเขาคงไม่ยืนยาวเท่าไรนัก
ยิ่งกับคนที่มีมิตรภาพแน่นแฟ้นต่อกันก็ยิ่งต่างออกไป
หากความสัมพันธ์ระหว่างพี่รองของโจรเขาเมาเมากับชายหัวโล้นดีจริงอย่างที่จางเหลียงพูด ถ้าพี่รองนั่นรู้ว่าสหายของเขาตายด้วยน้ำมือของจินเฟิงจะต้องตามมาเอาเรื่องบัณฑิตหนุ่มอย่างถึงที่สุดแน่นอน
นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมจินเฟิงถึงอยากให้ชายหัวโล้นเป็นเพียงโจรเขาเมาเมาทั่วไป บอกตามตรง ชายหนุ่มไม่อยากมีปัญหากับพี่รองของโจรเขาเมาเมา
ข่าวที่จางเหลียงนำกลับมาทำให้จินเฟิงกระตือรือร้นมากขึ้นไปอีก
“พี่เหลียง ท่านช่วยลองใช้หน้าไม้ของข้าหน่อย ว่ามันใช้งานได้ราบรื่นดีหรือไม่?”
จินเฟิงหยิบหน้าไม้ที่วางอยู่บนกำแพงแล้วส่งมันให้จางเหลียง
การต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มโจร เขาเพียงคนเดียวคงไม่สามารถรับมือไหวอย่างแน่นอน
เมื่อคืนจินเฟิงเห็นจางเหลียงเดินเข้ามาในที่เกิดเหตุด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความอาฆาต วันนี้หลังจากที่สร้างกระท่อมเสร็จเขาจึงเลยเอ่ยปากถามนายพราน
นายพรานเล่าให้บัณฑิตหนุ่มฟังถึงความมุ่งมั่นที่จะสังหารเซี่ยกวางเพื่อล้างแค้นให้จินเฟิงของพี่เหลียงผู้นี้
จากเหตุการณ์นั้น ชายหนุ่มเลยตระหนักได้ว่าจางเหลียงเห็นเขาเป็นคนในครอบครัวจริง ๆ
อย่างน้อยที่นี่ก็ยังมีคนยืนหยัดอยู่ข้างกันบ้าง
จินเฟิงจึงอยากจะฝึกฝนพี่น้องแซ่จางให้แข็งแกร่งขึ้น เผื่อจะใช้การพวกเขาได้ในอนาคต
จางหม่านชางเป็นคนเรียบง่ายและค่อนข้างขี้อาย เขาเป็นคนตั้งอกตั้งใจในการทำงาน สู้ชีวิต และอดทนต่อความยากลำบาก เหมาะสมแล้วที่จะให้อีกฝ่ายเรียนรู้เรื่องงานตีเหล็ก
ส่วนจางเหลียง เขาเคยเป็นบุรุษที่ผ่านสนามรบมาก่อน แม้จะสูญเสียแขนไปหนึ่งข้างแต่ก็ยังมีความกล้าหาญที่จะต่อสู้
พี่น้องครอบครัวจางนับว่าเป็นผู้พิการทั้งคู่ พวกเขาอยู่ในหมู่บ้านนี้เงียบ ๆ มาหลายปีแล้ว แม้ภายนอกจะดูอ่อนแอแต่ก็ไม่มีใครกล้ารังแกพวกเขาเพราะเกรงกลัวจางเหลียง
คนแบบนี้หากได้รับการฝึกฝนเพิ่มขึ้นก็น่าจะเป็นพันธมิตรที่ดีได้ในวันข้างหน้า
หากในอนาคตเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ยังมีคนที่ยังพอช่วยเหลือกันอยู่บ้าง
“เสี่ยวเฟิง มือของข้าจับหน้าไม้นี้ไม่ได้หรอก” ความโศกเศร้าปรากฏขึ้นบนใบหน้าจางเหลียง อีกฝ่ายส่ายศีรษะและถอดใจ “ข้าไม่สามารถใช้มือข้างเดียวขึ้นสายธนูได้”
“หน้าไม้นี้ปรับปรุงได้ หากท่านลองจับแล้วถนัดมือ ข้าอาจจะเปลี่ยนวิธีการขึ้นสายเป็นแบบอื่น”
“เจ้าจะเปลี่ยนอย่างไรหรือ?”
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับความถนัดของท่าน อาจเปลี่ยนมาเป็นแบบใช้หน้าอกยันเวลาขึ้นสายธนูแทน หรือจะใช้เท้าเหยียบก็ย่อมได้”
จินเฟิงกล่าวสบาย ๆ ทำเหมือนกับว่าสิ่งที่เอ่ยออกมาไม่ใช่เรื่องใหญ่
หน้าไม้รุ่นหลัง ๆ ได้รับการพัฒนาจนมีหลากหลายประเภท พวกมันมีวิธีการขึ้นสายที่หลากหลาย
น้อยนักที่บุรุษจะไม่สนใจเรื่องอาวุธ นับประสาอะไรกับชายจากกองทัพอย่างจางเหลียง
ตอนเห็นจินเฟิงหยิบหน้าไม้ออกมาครั้งแรก เขาอยากที่จะยืมมาลองเล่นแทบตาย แต่ติดที่ว่าตนเองมีแขนแค่ข้างเดียว
เมื่อได้ยินที่บัณฑิตหนุ่มพูด จางเหลียงจึงยื่นมือออกไปรับอาวุธอย่างตื่นเต้น “ส่งมาสิ ข้าจะลองดู!”
จินเฟิงก็มีบาดแผลที่มือเช่นกัน ชายหนุ่มจึงส่งหน้าไม้ให้จางหม่านชาง แล้วไหว้วานให้อีกฝ่ายช่วย “หม่านชาง เจ้าช่วยขึ้นสายที”
แม้ว่าจางเหลียงจะไม่เคยใช้หน้าไม้มาก่อน แต่ตอนที่เขาเป็นทหารก็ได้ใช้ธนูยาวอยู่บ่อย ๆ เขาหยิบหน้าไม้ที่หม่านชางขึ้นสายเอาไว้เล็งไปที่เสาของโรงตีเหล็กก่อนจะค่อย ๆ เหนี่ยวไก
ฟิ้ว!
ลูกธนูพุ่งออกไป
เพราะเป็นครั้งแรก วิถีการยิงของจางเหลียงจึงค่อนข้างคดเคี้ยว
ลูกธนูเลยพุ่งผ่านเสาไปกระแทกเข้ากับกำแพงดิน
ลูกธนูยาวสองฉื่อ*[1] ปักเข้าที่กำแพงดินกว่าครึ่ง!
“มันทรงพลังมาก ไม่แปลกใจเลยที่มันสามารถใช้ฆ่าเสือได้!”
จางเหลียงอุทานออกมา ก่อนจะพูดอย่างเสียดายว่า “แต่เหมือนมันจะค่อนข้างเล็งยากไปสักหน่อย”
“พี่เหลียง ท่านคิดผิดแล้ว เมื่อเทียบกับข้อได้เปรียบที่ใหญ่ที่สุดของหน้าไม้ คือการเล็งได้ง่ายกว่า”
จินเฟิงชี้ไปตรงรอยนูนเล็ก ๆ บนหน้าไม้แล้วกล่าว “ครั้งต่อไปลองยึดรอยนูนนี้เป็นหลักเวลาเล็งไปที่เป้าหมาย จากนั้นค่อยยิงดูสิ”
“ข้าขอลองดูอีกที”
จางเหลียงวานให้หม่านชางขึ้นสายธนูอีกครั้ง
ต้องยอมรับเลยว่าจางเหลียงมีพื้นฐานที่ดี

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์