บทที่ 299 เรียนรู้สิ่งใหม่
“ท่านอาจารย์ มีพ่อค้าและนายพรานบางคนที่เริ่มออกเดินทางมาที่ประตูเมืองตั้งแต่กลางดึกเพื่อที่จะได้ทันตลาดเช้า…”
เถี่ยฉุยเกาหัวแล้วถามว่า “ข้าคงไม่สามารถจับกุมคนเหล่านั้นได้ทั้งหมดใช่หรือไม่? ข้ารบกวนท่านอาจารย์ระบุให้แน่ชัดอีกครั้งเถิด”
นับตั้งแต่เขาได้รับบาดเจ็บที่ขาเพราะหญิงดุร้ายหลานสาวของจวิ้นโส่ว เขาก็ได้พักฟื้นอยู่ในซีเหอวาน และไม่แน่ใจเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันนัก
เถี่ยฉุยไม่เข้าใจว่าเหตุใดจินเฟิงจึงออกคำสั่งให้จับกุมผู้คน แล้วเขาต้องจับกุมคนประเภทไหน
“อ้อ ใช่ ข้าพูดไม่ชัดเจนเอง”
เถี่ยฉุยเป็นองครักษ์ส่วนตัวของเขาและจางเหลียงเองก็ไม่ใช่คนนอก ดังนั้นจินเฟิงจึงไม่ปิดบังอะไรจากทั้งคู่และบอกพวกเขาถึงสิ่งที่ตนเองสงสัย
“ข้าเข้าใจแล้ว หากพวกโจรที่ทำการโจมตีท่านอาจารย์ได้รับคำสั่งจากเสี้ยนเว่ยจริงก็ต้องมีคนเข้าไปที่จวนว่าการเพื่อรายงานเสี้ยนเว่ยอย่างเร่งด่วนแน่นอน”
จางเหลียงพยักหน้าและพูดว่า “เถี่ยฉุยเพียงแค่ต้องจับคนที่ตั้งใจจะเข้าเมืองตอนกลางดึกเท่านั้นใช่หรือไม่?”
“ใช่”
ในยุคศักดินา โดยทั่วไปประตูเมืองจะปิดตอนพระอาทิตย์ตกและเปิดตอนรุ่งสาง เว้นแต่จะมีเหตุฉุกเฉินร้ายแรง เจ้าหน้าที่เฝ้าประตูจะไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดประตูเมืองเป็นการส่วนตัวเพื่อให้ผู้คนเข้า-ออก
หากต้องการเปิดประตูตอนกลางดึก จำเป็นต้องมีหมายจับที่ลงนามโดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเมืองนั้น ๆ หรือทหารระดับสูงจึงจะสามารถผ่านเข้าไปได้
ครั้งล่าสุดที่ถังเสียวเป่ยถูกลักพาตัวและจินเฟิงจำเป็นต้องเดินทางไปที่กวางเหยวียนตอนกลางดึก เซียวตูเว่ยได้ยืนเฝ้าอยู่ที่ประตูและเปิดประตูให้จินเฟิงด้วยตัวเอง
นายอำเภอจินชวนที่เพิ่งกำจัดโจวซือเหยียไปได้ไม่นานมานี้ยังไม่มีรากฐานที่แข็งแกร่งและไม่กล้าแตะต้องจินเฟิง
หากมีคนไปที่จวนว่าการตอนกลางดึกเพื่อรายงานข่าว แน่นอนว่าต้องเป็นคนของจ้าวเสี้ยนเว่ยอย่างแน่นอน
“ท่านอาจารย์วางใจได้ ข้าจะพาคนไปที่ประตูจินชวนทันที!”
เถี่ยฉุยทุบหน้าอกของเขาแล้วพูดว่า “ข้าจะทำให้มั่นใจว่าจะไม่มียุงสักตัวเดียวบินเข้าไปด้านในได้”
“ตอนนี้เจ้าเป็นเพียงผู้คุ้มกัน เจ้ามีสิทธิ์อะไรไปปิดประตูเมือง”
จินเฟิงยกเท้าขึ้น อยากจะเตะเถี่ยฉุยสักครั้ง แต่เมื่อคิดได้ว่าบาดแผลที่ขาของอีกฝ่ายยังไม่หายดี เขาจึงก้าวเท้าถอยหลัง “อีกอย่าง เหตุใดเจ้าต้องปิดประตูเมืองด้วย? หากหน่วยสอดแนมเห็นเจ้าไปปิดประตูเมือง เขายังจะกล้าเข้าไปในตัวอำเภอตอนกลางดึกอีกหรือ?”
“เอ่อ… ข้าคิดอะไรตื้นไปหน่อย”
เถี่ยฉุยกล่าวต่อ “เช่นนั้นข้าจะพาคนไปซ่อนตัวอยู่ในป่านอกประตูเมืองแต่ละด้าน และรอจนกว่าจะมีคนไปตะโกนเรียกหน้าประตูเมืองก่อน ค่อยลงมือ”
“ถือว่าที่บ้านเจ้าไม่ได้เลี้ยงเจ้าให้เติบโตมาอย่างโง่เขลา”
จินเฟิงพยักหน้า “รีบไปเถิด ระวังตัวด้วย”
“รับทราบ!”
เถี่ยฉุยตอบรับและนำกำลังคนไปกว่าครึ่ง
“พี่เหลียง วานพี่สอบปากคำบรรดาหัวหน้าโจรเหล่านี้ด้วย เค้นถามพวกเขาให้ได้ว่าผู้ใดจ้างวานพวกเขามา”
จินเฟิงมองไปที่จางเหลียงอีกครั้ง
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะล้วงคอล้างท้องพวกเขาให้หมด”
จางเหลียงให้ความมั่นใจกับจินเฟิงก่อนจะออกไปพร้อมกับเอ้อร์ขุย
ในไม่ช้าก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากแม่น้ำเฮยสุ่ย
ไม่ต้องบอกชายหนุ่มก็รู้ได้ว่าจางเหลียงกำลังทำสิ่งใด แต่เขาไม่มีความเห็นอกเห็นใจใด ๆ ทั้งสิ้น
หากเป็นพวกโจรธรรมดาจินเฟิงอาจจะปล่อยไป แต่หัวหน้าใหญ่เหล่านี้ตระเวนไปตามชนบทมาหลายปีแล้ว และพวกเขาก็สังหารผู้คนไปนับไม่ถ้วน
นี่คือบทลงโทษของพวกเขา
เมื่อเดินเข้าไปในห้องใต้หอสังเกตการณ์ กวานเสี่ยวโหรวผู้ขยันหมั่นเพียรก็ได้จัดเตียงไว้เรียบร้อยแล้ว นางกำลังนั่งอยู่ข้างเตียงพร้อมพูดคุยอยู่กับถังเสียวเป่ยเงียบ ๆ
เมื่อเห็นว่าจินเฟิงกลับมาแล้ว นางก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและพูดว่า “สามี เจ้ากลับมาแล้วหรือ เหตุใดเจ้าจึงมีสภาพเช่นนี้เล่า? รอสักครู่ข้าจะไปเอาน้ำมาให้เจ้าล้างหน้าล้างตา”
“ไม่ต้องหรอก ข้าขอพักสักครู่ อีกเดี๋ยวข้าต้องออกไปข้างนอก ไม่สำคัญหรอกว่าจะล้างหรือไม่ล้าง”
จินเฟิงคว้ากวานเสี่ยวโหรวเอาไว้
อาจเป็นเพราะประสบการณ์ในวัยเด็กของนางเจ็บปวดเกินไป ความอ่อนน้อมถ่อมตนจึงแทบจะฝังอยู่ในกระดูกของกวานเสี่ยวโหรว
ตอนนี้จินเฟิงเป็นหนึ่งในบุคคลชั้นนำในจินชวน เขาไม่แม้แต่จะคำนึงถึงสถานะหรือความมั่งคั่งของตน
ทว่ากวานเสี่ยวโหรวยังคงถ่อมตัว ใจดี และขยันเหมือนเมื่อก่อน นอกจากรุ่นเหนียงแล้ว ในครอบครัวก็ไม่มีผู้ช่วยคนอื่น ๆ นางจึงมักจะซักเสื้อผ้าของจินเฟิงด้วยตัวเองอยู่บ่อยครั้ง

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์