บทที่ 302 เข่าอ่อน
“ท่านอาจารย์ กุนซือเฝิงอยู่ในจวนว่าการ เมื่อประตูเมืองเปิด ข้าจะเข้าไปจับกุมเขาเอง”
เถี่ยฉุยกล่าวว่า “ถึงเวลาข้าจะเข้าไปจัดการชายผู้นี้ก่อน เพราะคงไม่ง่ายที่เราจะจัดการกับจ้าวเสี้ยนเว่ย!”
“ดี!”
จินเฟิงพยักหน้า
จ้าวเสี้ยนเว่ยถือว่าเป็นข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งจากราชสำนัก การจัดการเขาไม่ง่าย แต่กุนซือเฝิงผู้นี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าผู้ติดตามคนหนึ่งเท่านั้น จินเฟิงจึงไม่กังวลที่จะจัดการกับอีกฝ่ายเลย
“ว่าแต่ ประตูเมืองจะเปิดเมื่อใด?”
จู่ ๆ จินเฟิงก็ถามขึ้น
ตามความรู้สึกของเขา ประตูเมืองน่าจะเปิดในตอนเช้าเพื่ออำนวยความสะดวกแก่เกษตรกรผู้เพาะปลูกและนายพรานจากนอกเมืองให้เข้าไปตั้งแผงขายของ
เพื่อที่ตอนรุ่งสาง ชาวเมืองจะได้ออกมาจับจ่ายซื้อของ
แต่ตอนนี้ก็ใกล้จะรุ่งเช้าแล้ว ทว่าประตูเมืองจินชวนยังคงถูกปิดอย่างแน่นหนา
“ท่านอาจารย์ หากท่านไม่เอ่ยถามข้าก็คงไม่เอะใจ โดยปกติประตูเมืองจะเปิดในยามอิ๋น แต่นี่ก็ใกล้เข้ายามเหม่าแล้วเหตุใดจึงยังไม่เปิดอีก?”
เถี่ยฉุยเริ่มสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“ตอนที่เจ้าทำการจับกุมผู้คน ทหารบนหอสังเกตการณ์ด้านบนรู้หรือไม่?” จินเฟิงถาม
“ชายผู้นี้ตะโกนอยู่นอกประตูเมืองสักพัก พวกทหารคงรู้จึงลงมาเปิดประตูให้ที่ชั้นล่าง”
เถี่ยฉุยกล่าวว่า “หากพวกข้าวิ่งช้ากว่านี้ ดีไม่ดีชายผู้นี้อาจวิ่งเข้าไปด้านในแล้ว”
“เอาล่ะ ข้าเดาว่าประตูเมืองคงจะยังไม่เปิดเร็ว ๆ นี้” จินเฟิงพูดอย่างช่วยไม่ได้
“ท่านอาจารย์หมายถึง… จ้าวเสี้ยนเว่ยมีคำสั่งไม่ให้เปิดประตูเมืองหรือ?”
ในที่สุดเถี่ยฉุยก็เข้าใจ
“ในจินชวนนี้มีเพียงสามคนเท่านั้นที่มีสิทธิ์สั่งปิดประตูเมือง ได้แก่ ชิ่งไหว เสี้ยนลิ่ง และเสี้ยนเว่ย”
จินเฟิงยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “หากชิ่งไหวไม่อยู่ในจินชวน จางเสี้ยนลิ่งหรือนายอำเภอจางคงจะไม่ปิดประตูเมืองโดยไม่มีเหตุผล แล้วจะมีใครอีกที่สามารถทำเรื่องนี้ได้นอกจากจ้าวเสี้ยนเว่ย”
เขาคิดถึงความเป็นไปได้มากมาย แต่ไม่คาดคิดว่าจ้าวเสี้ยนเว่ยจะสั่งการให้ปิดประตูเมือง
การที่อีกฝ่ายทำเช่นนี้ ต่อให้จินเฟิงจะมีวิธีการกี่วิธีก็ไม่สามารถลงมือได้
โจวเหวินเหยวียนเป็นผู้สืบทอดสายตรงของตระกูลโจวในเมืองหลวง เนื่องจากทหารองครักษ์ได้ทำการสังหารทหารไปหลายคน โจวกั๋วกงจึงยังคงตกที่นั่งลำบาก
สำหรับเรื่องนี้โจวกั๋วกงทำได้แค่พูดแต่สิ่งดี ๆ และสละผลประโยชน์ของครอบครัวมากมาย ทว่าเขาก็ยังถูกฝ่ายตรงข้ามกล่าวโทษทุกวันเมื่ออยู่ในท้องพระโรง
บางครั้งโจวกั๋วกงก็อยากจะส่งตัวโจวเหวินเหยวียนออกไปรับโทษให้มันจบ ๆ
แต่เขาก็ทำได้แค่คิดเท่านั้น เพราะหากทำจริง ๆ สถานะของเขาในครอบครัวคงจะตกต่ำในไม่ช้า
กั๋วกงผู้สง่างามเหมือนถูกดักไว้ทุกทาง หากจินเฟิงกล้าโจมตีอำเภอจินชวน เขาก็สามารถเดาผลที่ตามมาได้
“ท่านอาจารย์ ตอนนี้เราควรทำอย่างไรดี?”
เถี่ยฉุยถาม “หากจ้าวเสี้ยนเว่ยยังคงซ่อนตัวอยู่ในจวนว่าการ เราคงทำอะไรเขาไม่ได้”
“ไม่หรอก จ้าวเสี้ยนเว่ยสั่งปิดประตูเมืองเพียงครั้งสองครั้งไม่เป็นอะไร แต่หากไม่มีเหตุผลอันสมควรและทำการปิดประตูเมืองเป็นเวลานานจะถือเป็นการกบฏ!”
จินเฟิงท่องจำกฎและข้อบังคับของต้าคังไว้ในใจจึงพูดอย่างมาดมั่นว่า “อย่างช้าที่สุดก็แค่สี่ห้าวัน และเขาก็จะต้องเปิดประตูเมืองในที่สุด”
“ใช่ ๆ ตอนนั้นหลังจากพบแม่นางเสียวเป่ยแล้ว เหล่าเซียวก็รีบเปิดประตูเมืองและไม่กล้าปิดประตูเมืองเพิ่มแม้แต่วันเดียว”
เมื่อเอ่ยมาถึงจุดนี้ ดวงตาของเถี่ยฉุยก็เป็นประกาย “ใช่แล้วท่านอาจารย์ เหล่าเซียวก็เป็นถึงระดับตูเว่ยที่ดูแลทหารท้องถิ่น เขาเป็นผู้ควบคุมเสี้ยนเว่ยอีกที เราสามารถไปขอความช่วยเหลือจากเหล่าเซียวได้ เมื่อถึงเวลานั้น จ้าวเสี้ยนเว่ยก็ไม่สามารถคัดค้านการเปิดประตูเมืองได้อีก!”
“กว่าเจ้าจะคิดออกมันก็สายเกินไปแล้ว”
จินเฟิงกล่าวว่า “ข้าได้ส่งคนไปที่กวางเหยวียนแล้ว หากความเร็วเพียงพอ เหล่าเซียวจะมาถึงจินชวนยามอู่วันพรุ่งนี้”
ในความเป็นจริง เขาขอความช่วยเหลือจากตูเซียวเว่ย ไม่ใช่เพราะเรื่องประตูเมือง แต่เนื่องจากจ้าวเสี้ยนเว่ยเป็นเจ้าหน้าที่ของราชสำนัก และเขาไม่อาจแตะต้องอีกฝ่ายได้โดยตรง แต่บังเอิญว่าเซียวตูเว่ยเป็นผู้บังคับบัญชาของจ้าวเสี้ยนเว่ยจึงเหมาะสมที่จะขอความช่วยเหลือจากเขา
ตราบใดที่เอาจ้าวเสี้ยนเว่ยลงได้ เซียวตูเว่ยก็สามารถจัดการให้คนของเขาเข้ามารับช่วงต่อได้อย่างเหมาะสม
จินเฟิงเชื่อว่าเซียวตูเว่ยต้องยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ช่วยเหลือเรื่องนี้
“ท่านอาจารย์ช่างฉลาดและฉับไวยิ่งนัก”
เถี่ยฉุยเกาศีรษะ
“จ้าวเสี้ยนเว่ยสั่งปิดประตูเมือง เขาต้องรู้แล้วว่าเราคิดจะทำอะไร บางทีเขาอาจคิดหลบหนี”



VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์