บทที่ 32 เป็นผู้นำครอบครัวก่อนวัยอันควร
ที่ลานบ้านของจินเฟิงเต็มไปด้วยเหล่าสตรีในหมู่บ้านที่มาแย่งชิงกันขอทำงาน
แต่ดูเหมือนว่าไนปั่นด้ายที่นำกลับมาประกอบ อาจจะไม่เพียงพอสำหรับหญิงทั้งหมู่บ้านที่ต้องการจะมาทำงาน
ถังตงตงไม่ได้เลือกปฏิบัติ นางยึดตามหลักมาก่อนได้ก่อน และนางจะให้สิทธิ์แก่ผู้ที่มาสมัครก่อนยี่สิบคนแรก
แม้ว่าสตรีที่มาทีหลังจะไม่ค่อยพอใจนัก แต่ไม่มีใครพูดอะไร
ใครใช้ให้มาช้าเองล่ะ?
ถังตงตงเรียกสตรีทั้งยี่สิบคนมาที่ลานบ้านและเริ่มแบ่งกะการทำงาน
สิบคนอยู่กะกลางวัน อีกสิบคนอยู่กะกลางคืน และกะการทำงานจะเปลี่ยนไปทุก ๆ สิบวัน
นี่คือวิธีที่บัณฑิตหนุ่มบอกให้นางจัดการ
หลังจากแบ่งกะการทำงานแล้ว สตรีทั้งสิบคนในกะกลางวันก็เข้าไปในกระท่อมเพิงหญ้าคาเพื่อเริ่มปั่นด้าย
ส่วนหญิงสาวคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้รับคัดเลือกและผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ทำงานกะกลางคืน ต่างก็เฝ้ามองอยู่รอบ ๆ ด้วยความสงสัย
เด็กหญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่หน้าไนปั่นด้ายมีนามว่าเสียวเป่ย ปีนี้นางมีอายุสิบขวบ เด็กหญิงมีโอกาสปั่นด้ายไม่บ่อยนัก การเคลื่อนไหวของนางจึงไม่ค่อยลื่นไหล
เดิมทีนางก็มีความตื่นเต้นอยู่แล้ว ยิ่งตอนนี้ที่ต้องมองไปยังผู้คนรอบ ๆ ที่กำลังหัวเราะเยาะในความเก้ ๆ กัง ๆ ทำให้เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้ถึงกับเหงื่อตก
“จินเฟิง เสียวเป่ยไม่รู้วิธีปั่นด้าย เช่นนั้นแล้วเปลี่ยนเป็นข้าไม่ดีกว่าหรือ ข้ารับรองว่าข้าทำได้เร็วกว่านางแน่”
หญิงสาวในหมู่บ้านวัยยี่สิบคนหนึ่งเห็นจินเฟิงเลยเดินเข้าไปถาม
เมื่อเสียวเป่ยได้ยินดังนั้น นางก็ร้องครวญครางอย่างกังวล “ท่านพี่เฟิง อย่าไล่เสียวเป่ยเลย เสียวเป่ยต้องหาเงินไปซื้อยาให้ท่านแม่ ท่านเชื่อเสียวเป่ยสักครั้งได้หรือไม่ ข้าจะเรียนรู้และปรับปรุงตัวอย่างแน่นอน ข้า… ข้าไม่กินข้าวที่บ้านท่านก็ได้…”
“เอาล่ะเสียวเป่ย ซานส่าวจือเพียงแค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้น”
จินเฟิงกล่าวต่อ “ถึงเวลากินข้าวเจ้าก็รีบไปกิน ถึงเวลาทำงานเจ้าก็ตั้งใจทำงาน หากเจ้าทำได้ดี ข้าก็ไม่ไล่เจ้าไปไหนหรอก”
อีกอย่างด้วยสถานการณ์ของครอบครัวของเสียวเป่ย พ่อของนางเสียชีวิตในสนามรบเมื่อไม่กี่ปีก่อน และแม้ว่าแม่ของนางจะอายุยังไม่มาก แต่ก็ขี้โรคและเจ็บป่วยอยู่บ่อย ๆ
เด็กที่ครอบครัวยากจนมักจะต้องเป็นผู้นำครอบครัวก่อนวัยอันควร ในยุคหลัง เด็กที่อายุสิบกว่าขวบยังเรียนอยู่ในชั้นประถมศึกษาเท่านั้น หากเป็นเด็กดีก็จะหยิบจับงานบ้านแบ่งเบาภาระบิดามารดาบ้างเป็นครั้งคราว
แต่เสียวเป่ยในวัยเท่ากันต้องขึ้นเขาไปเก็บฟืนและไปทำงานที่แปลงตั้งแต่อายุเจ็ดแปดขวบ
และชายหนุ่มก็เห็นนางแบกฟืนขนาดใหญ่กว่าตัวลงจากเขาอย่างทุลักทุเลอยู่หลายครั้งหลายหน
งานปั่นด้ายเป็นงานที่ต้องใช้ทักษะ หากทำงานออกมาได้ไม่ติดขัดอะไร จินเฟิงก็ยินดีที่จะให้โอกาสเสียวเป่ยได้ทำงานเพื่อหาเงินเลี้ยงดูมารดา
“ข้าขอบคุณท่านพี่เฟิงมาก! ท่านวางใจเถิด ข้าจะไม่เกียจคร้านแน่นอน”
เด็กหญิงตัวน้อยปาดน้ำตาแล้วเริ่มทำงานต่อทันที
“ซานส่าวจือ พวกท่านไม่ต้องอยู่รอบริเวณนี้หรอก รีบกลับบ้านไปเถิด อีกไม่กี่วันไนปั่นด้ายคันใหม่ก็จะสร้างเสร็จ ไว้ทุกคนค่อยมาเวลานั้นก็แล้วกัน”
เมื่อจินเฟิงเห็นว่าสตรีเหล่านี้ยังอยากจะทักท้วงบางอย่างต่อ เขาก็ออกไปไล่ให้พวกนางกลับไป
อย่างไรสุดท้ายแล้วในอนาคต พวกนางก็ต้องมาทำงานให้จินเฟิง เมื่อหญิงสาวทั้งหลายเห็นว่าชายหนุ่มเริ่มไม่พอใจ พวกนางจึงต้องแยกย้ายกันกลับอย่างเลี่ยงไม่ได้
กวานเสี่ยวโหรวรับผิดชอบกะกลางวัน ส่วนถังตงตงเป็นผู้รับผิดชอบกะกลางคืน ในขณะที่รุ่นเหนียงจะเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องอาหารการกิน
นี่คือสิ่งที่ทั้งสามตกลงปรึกษากันเรียบร้อยและลงตัวแล้ว
รุ่นเหนียงพึงพอใจกับการแบ่งหน้าที่การทำงานเช่นนี้มาก นางจะเริ่มตื่นมาตุ๋นไก่ตั้งแต่เช้าเพื่อที่จะได้เปื่อยทันเวลาอาหาร ในส่วนของเครื่องปรุงอื่น ๆ ก็ไม่ต้องใส่อะไรมากมาย เพียงแค่โรยเกลืออย่างเดียวเป็นใช้ได้
กลิ่นหอมของไก่ฟ้าผสานเข้ากับกลิ่นหอมของข้าวเปลือก
เดิมทีสตรีที่ทำงานอยู่ในกระท่อมรู้สึกว่านี่เป็นโอกาสที่ดีมากอยู่แล้วที่พวกนางได้มาทำงานปั่นด้าย แต่เมื่อได้กลิ่นโชยมาจากห้องครัว ความอยากอาหารก็ทำให้คนทั้งหมดกระฉับกระเฉงยิ่งขึ้นไปอีก
พวกนางเพียงคิดว่าคงจะดีหากได้กินโจ๊กกับผักป่าตอนเที่ยง แต่ใครจะรู้ว่าจะมีเนื้อสัตว์อยู่ในมื้ออาหารด้วย


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์