บทที่ 41 โชติช่วงชัชวาลย์
“เขาคาดเดาไว้หรือว่าข้าจะต้องถามคำถามนี้กับท่าน?”
จินเฟิงรู้สึกประหลาดใจมากกับคำตอบของจางเหลียง “เขาบอกกับท่านว่าอย่างไร?”
“ท่านโหวบอกว่า หากเจ้าถามอะไรก็ให้ข้าตอบไปตามความจริง”
จางเหลียงกล่าวต่อ “เสี่ยวเฟิง เจ้าอยากรู้อะไรถามข้ามาได้เลย หากข้ารู้และสามารถตอบได้ ข้าจะบอกเจ้าอย่างแน่นอน”
อดีตนักรบในกองทัพเอ่ยอย่างจริงใจ “เมื่อเจ้าคลายข้อสงสัยแล้ว เจ้าก็จะรู้ว่าท่านโหวผู้นี้แตกต่างจากขุนนางคนอื่น ๆ ท่านเป็นคนดี ข้าเอาหัวเป็นประกันได้เลย!”
หลังจากได้ยินคำรับรองของจางเหลียง จินเฟิงก็รู้ว่าแผนการวันนี้ของเขาอาจล้มเหลว
เห็นได้ชัดว่าผู้ชายคนนี้เป็นแฟนตัวยงของชิ่งไหว สิ่งที่อีกฝ่ายพร่ำเทิดทูนบูชาอย่างหน้ามืดตามัวนั้น ไม่รู้ว่าจะเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด อย่างไรเสีย จางเหลียงคงเลือกที่จะพูดแต่สิ่งดี ๆ ของท่านโหวหนุ่มอย่างแน่นอน
ทว่าอย่างไรเสียเขาก็สมควรถามเอาความจากอีกฝ่าย
อย่างน้อยก็ต้องรู้ว่าท่านโหวผู้นี้มาจากไหนและหน้าที่หลักของเขาคืออะไร
แน่นอนว่า ข้อมูลพื้นฐานเหล่านี้จางเหลียงคงไม่สามารถปิดบังหรือเอ่ยความเท็จได้
“ท่านโหวผู้นี้มาจากไหนและภูมิหลังของเขาเป็นอย่างไร” จินเฟิงถาม
“พ่อของท่านโหวคือชิ่งกั๋วกง เมื่ออายุสิบสี่ปีท่านโหวได้เข้ากองทัพและสามารถเอาชนะศัตรูได้ตอนอายุเพียงสิบหกปีเท่านั้น จากนั้นเขาก็ได้เลื่อนขั้นเป็นอู๋จ่าง พออายุยี่สิบเอ็ดปี เขาก็ได้เลื่อนยศเป็นเซี่ยวเว่ย เมื่ออายุยี่สิบสามปี เขานำกำลังพลนับพันคนรับหน้าที่เป็นปีกขวาของกองทัพเถี่ยหลิน คอยคุ้มกันซงโจว ตอนนั้นเราถูกทหารม้าสองหมื่นนายปิดล้อมอยู่เป็นเวลาสามเดือน อย่างไรก็ตามไม่ได้เกิดการสูญเสียขึ้น เมื่อกำลังเสริมมาถึงจึงได้ร่วมมือกันโจมตีศัตรูที่บุกรุกเข้ามาจนราบเป็นหน้ากอง”
จางเหลียงมีสีหน้าชื่นชมต่อท่านโหวหนุ่มอย่างปิดไม่มิด “การต่อสู้ครั้งนั้นล้มล้างแผนการทั้งหมดของชาวตั่งเซี่ยนได้ ฝ่าบาททรงมีความปีติยินดีเป็นอย่างมาก ต่อมาเขาจึงได้รับตำแหน่งเป็นท่านป๋อแห่งจินชวน เพราะความสามารถทางทหารที่โดดเด่น ต่อมาเขาจึงได้รับการขนานนามว่าท่านโหวแห่งจินชวนในที่สุด”
“ตำแหน่งของเขาไม่ได้มาจากการสืบทอดหรือ?”
“แน่นอนว่าไม่ใช่ ท่านโหวเป็นบุตรชายคนที่สามของชิ่งกั๋วกง ข้าได้ยินมาว่าบุตรที่เกิดจากอนุภรรยาไม่สามารถสืบทอดตำแหน่งได้ ตำแหน่งของท่านโหวจึงได้รับมาจากการออกรบที่เกิดจากการต่อสู้ที่ดุเดือดของตนเอง”
เมื่อพูดเช่นนี้ จางเหลียงก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นราวกับว่าเขาได้รับตำแหน่งนี้ด้วยตัวเอง
คนที่เกิดมาร่ำรวยมีวาสนา ชีวิตของพวกเขาย่อมมีค่าและน่าเทิดทูน
ในฐานะลูกชายของชิ่งกั๋วกง ต่อให้เขาเป็นคนธรรมดาสามัญก็ย่อมมีความเจริญรุ่งเรืองและมั่งคั่งจวบจนวาระสุดท้าย
แต่ชิ่งไหวเลือกที่จะเข้าร่วมกองทัพและรับตำแหน่งทางราชการแทน
ไม่ว่าชิ่งกั๋วกงจะอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้หรือไม่ การที่ชิ่งไหวมาถึงจุดนี้ก็ได้พิสูจน์ความสามารถของเขาแล้ว
บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่จางเหลียงชื่นชมท่านโหวหนุ่มผู้นี้
“ข้าได้ยินมาจากตงตงว่า เดิมทีท่านโหวต้องการเอาไนปั่นด้ายกลับไปด้วย ทำให้เจ้าไม่วางใจในตัวท่าน แต่ข้ารู้ดีว่าการที่ท่านโหวเอาไนปั่นด้ายไปไม่ใช่เพื่อสร้างโชคลาภให้กับตัวเอง”
จางเหลียงกล่าว “ในขณะที่อยู่ในกองทัพ ท่านโหวจะกินและอยู่กับทหารโดยไม่แบ่งแยก อาวุธที่ยึดได้จากข้าศึกที่พ่ายแพ้ก็จะแจกจ่ายให้กับเหล่าทหารโดยเขาไม่รับสิ่งใดเป็นของตนเองเลย เรือนชิ่งเฟิงของเขาก็เป็นที่อยู่อาศัยที่ไม่มีความฟุ่มเฟือยใด ๆ บ่าวรับใช้เกือบทั้งหมดต่างก็เป็นสมาชิกในครอบครัวของสหายที่ตายลงในสนามรบ ที่เขาอยากได้ไนปั่นด้ายของเจ้าเป็นเพราะเขาต้องการสร้างรายได้ให้มากขึ้นเพื่อที่จะดูแลสมาชิกในครอบครัวที่เหลือของสหายร่วมรบที่เสียชีวิตไปแล้วเท่านั้น เป็นที่รู้กันดีว่ากองทัพได้สูญเสียกำลังพลไปเป็นจำนวนมาก เช่นนั้น ท่านโหวจะดูแลครอบครัวพวกเขาทั้งหมดได้อย่างไร?”
เมื่อได้ยินสิ่งที่จางเหลียงพูด ความคิดคัดค้านภายในใจของจินเฟิงที่มีต่อชิ่งไหวก็ลดลงในที่สุด
บัณฑิตหนุ่มเชื่อว่านี่คงเป็นจุดประสงค์ของชิ่งไหวจริง ๆ
ยิ่งมันเป็นคำพูดที่ยืนยันออกมาจากปากของจางเหลียง ก็ยิ่งมีน้ำหนักและมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น
จินเฟิงคิดว่าเขารู้จักจางเหลียงเป็นอย่างดี ไม่ว่าชายผู้นี้จะบูชาชิ่งไหวมากแค่ไหน คนอย่างจางเหลียงก็ไม่มีทางทำร้ายเขา
แม้ว่าบัณฑิตหนุ่มจะระมัดระวังตัว แต่เขาก็คิดว่าเขาสามารถร่วมมือกับชิงไหวได้
เหมือนกับคนอื่น ๆ ที่เมื่อมีสหายดี ๆ อยู่สองคนก็คงอยากที่จะแนะนำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกัน เพื่อที่ทั้งสองจะได้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันด้วย
หลังจากที่จางเหลียงจากไป จินเฟิงก็ละทิ้งความคิดที่กวนใจ ชายหนุ่มพยายามแยกแยะอย่างเป็นกลางในมุมมองที่มีต่อชิ่งไหว
ชิ่งไหวรู้สึกสนใจในตัวจินเฟิงมากขึ้นเรื่อย ๆ เขายกให้จินเฟิงอยู่ในระดับเดียวกันกับตนเอง เมื่อมีการพูดคุยกันจึงรู้สึกผ่อนคลายและสนทนากันได้ง่ายขึ้น
การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้จินเฟิงมีความสุขมาก อย่างไรก็ตามเขาเหนื่อยเกินกว่าจะพูดจาอย่างสุภาพทุกวัน
ด้วยความช่วยเหลือจากชายที่แข็งแกร่งสามคน ความเร็วในการสร้างเตาหลอมก็เพิ่มขึ้นทันที ใช้เวลาเพียงวันครึ่งเท่านั้น เตาหลอมรูปแบบใหม่ปรากฏขึ้นข้างผนังของโรงตีเหล็ก
ตอนนี้เป็นยามเซินแล้ว เดิมทีจินเฟิงคิดที่จะตีเหล็กในวันรุ่งขึ้น แต่ชิ่งไหวรีบร้อนเป็นอย่างมาก และเขาก็มักจะเดินไปมาผ่านหน้าบัณฑิตหนุ่มอยู่เสมอ
เมื่อชิ่งไหวเดินผ่านเป็นครั้งที่หก ในที่สุดจินเฟิงก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป “เอาล่ะท่านโหว ท่านเลิกเดินไปเดินมาเถิด หม่านชางมานี่หน่อย!”
ชิ่งไหวยกมือขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ท่านอาจารย์ หากท่านต้องการอะไรก็ว่ามาได้เลยไม่ต้องเกรงใจ!”
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่เกรงใจท่านโหวอยู่แล้ว”
จินเฟิงเข้าไปในโรงตีเหล็กพร้อมกับหม่านชาง
เมื่อจุดไฟแล้ว บัณฑิตหนุ่มก็เปิดกล่องที่อดีตช่างตีเหล็กทิ้งไว้ และหยิบเหล็กดิบออกมาสองสามก้อนโยนเข้าไป จากนั้นก็ให้หม่านชางดึงเครื่องสูบลมอย่างแรง
ในสมัยต้าคังยังไม่ได้เริ่มใช้ถ่านหินอย่างแพร่หลาย แม้ว่าชิ่งไหวจะใช้เส้นสายของเขาช่วยค้นหา แต่ก็ไม่สามารถหาได้ จินเฟิงไม่มีทางเลือกอื่นจึงจำเป็นต้องใช้ถ่านไม้แทน
ความร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้ของถ่านไม้ไม่ดีเท่าถ่านหิน แม้ว่าจินเฟิงจะเพิ่มเครื่องสูบลมเข้าไปในเตาที่สร้างใหม่ และยังเพิ่มเม่งแซ*[1] เข้าไป ความร้อนของเตาก็ยังไปไม่ถึงจุดหลอมเหลว
บัณฑิตหนุ่มปรับไปปรับมาและทำงานจนถึงกลางดึก ในที่สุดก็สามารถเผาเหล็กดิบให้กลายเป็นเหล็กกึ่งอ่อนได้
จินเฟิงรู้ดีว่าด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน เขาสามารถทำได้เพียงเท่านี้จึงนำบล็อกเหล็กกึ่งอ่อนออกจากเตา ก่อนจะใช้มือซ้ายที่บาดเจ็บโรยเม่งแซพิเศษ จากนั้นก็ทุบมันต่อด้วยค้อนในมือขวา
เสียงตีเหล็กดังตลอดทั้งคืน จนเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นในวันถัดมา ในที่สุดจินเฟิงก็เปิดประตูโรงตีเหล็กออกมาพร้อมดาบยาวสองเล่มในมือ
[1] เม่งแซ : บอแรกซ์ มีลักษณะเป็นผงสีขาวขุ่น คล้ายแป้ง หรืออาจมีลักษณะเป็นเม็ดกลมขุ่น ขนาดเล็กกว่าเม็ดสาคู ในทางอุตสาหกรรมนิยมใช้ในการผลิตแก้ว ภาชนะเคลือบ ชุบโลหะ เพื่อทำให้วัสดุทนทานความร้อนได้ดีขึ้น

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์