เข้าสู่ระบบผ่าน

ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์ นิยาย บท 43

บทที่ 43 แลกกับบรรดาศักดิ์

“ช่างเถิด ข้าเก็บวิชาเหล่านี้ไว้ในมือดีกว่า”

จินเฟิงส่ายศีรษะพร้อมปฏิเสธข้อเสนอของชิ่งไหว

การจะได้เงินจากราชสำนักมันง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ?

หากได้น้อยก็คงเสียเปรียบ สู้เปลี่ยนเป็นจี้หยกดีกว่า เพราะคนตัวเล็ก ๆ อย่างเขาไม่รู้ว่าจะมีสิทธิ์ต่อรองเงื่อนไขสูง ๆ เช่นนั้นหรือเปล่า

ส่วนเรื่องการเข้าไปทำงานในสำนักช่างหลวง จินเฟิงไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน

ในชีวิตที่แล้วเขาหักโหมทำงานให้คนอื่นจนต้องมาตาย ชีวิตนี้เมื่อมีโอกาสได้เป็นนายตัวเองแล้ว เขาจะไม่โง่ไปทำงานอย่างนั้นอีก

“แล้วท่านอาจารย์อยากได้สิ่งใด ท่านบอกข้ามาตามตรงเถิด”

ท่านโหวหนุ่มยังไม่ยอมแพ้ “ถึงแม้ว่าข้าจะจ่ายให้ท่านอาจารย์ไม่ไหว แต่ข้าสามารถรายงานต่อราชสำนักได้ ข้าสามารถทำให้ท่านอาจารย์พึงพอใจได้!”

“เรื่องนี้…”

จินเฟิงครุ่นคิดกับตัวเองสักพัก จากนั้นเขาก็เอ่ยถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก “หากข้ายอมจำนนต่อสิ่งที่ท่านเสนอ ข้าสามารถขึ้นเป็นขุนนางได้หรือไม่? เป็นขุนนางระดับต่ำที่สุดก็ได้”

เขาเติบโตมาภายใต้ธงแดงและได้รับการศึกษาในยุคปัจจุบันมาหลายปี นอกเหนือจากวันส่งท้ายปีเก่ากับวันบูชาบรรพบุรุษเขาก็ไม่เคยคุกเข่าก้มหัวให้ใคร โดยปกติชายหนุ่มจะรู้สึกรังเกียจพิธีกรรมการคุกเข่าในยุคศักดินานิยมเป็นอย่างยิ่ง

เนื่องจากสังคมศักดินามีลำดับขั้นมากเกินไป ในฐานะประชาชนคนธรรมดา พวกเขาไม่มีสิทธิ์เลือกและทำได้เพียงก้มหน้าคุกเข่าเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ผู้สูงศักดิ์ผ่านมา ทั้งยั้งต้องเรียกแทนตัวเองอย่างต่ำต้อย วางท่าทีถ่อมตน

กับชิงไหวที่เรียกขานกันอย่างปกติได้ เพราะอย่างน้อย ๆ จินเฟิงก็เป็นถึงบัณฑิตและชิ่งไหวก็ไม่ได้สนใจกฎเหล่านี้มากนัก เขาไม่ได้สนใจว่าจินเฟิงจะแทนตัวเองว่าข้าน้อยหรือไม่

หากอีกฝ่ายเป็นบุรุษผู้เคร่งครัดตามสิ่งที่ควรประพฤติของต้าคัง พฤติกรรมอันเป็นกันเองของจินเฟิงถือว่าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ถือว่าเป็นอาชญากรรม!

ความรู้สึกเหล่านี้ทำให้บัณฑิตหนุ่มไม่ค่อยพอใจนัก เขาจึงได้ร้องขอตำแหน่งขุนนาง

เพราะเมื่อได้เลื่อนขั้นเป็นขุนนางแล้ว ต่อให้อยู่ตำแหน่งที่เป็นลำดับชั้นที่ต่ำที่สุดก็ยังได้ชื่อว่าเป็นขุนนางอยู่ดี นอกเหนือจากการทำความเคารพฮ่องเต้และฮ่องเฮา เมื่อพบปะผู้อื่นแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้มีบรรดาศักดิ์สูง ชายหนุ่มก็ไม่จำเป็นต้องทำความเคารพเยี่ยงสามัญชนอีกต่อไป

ตำแหน่งขุนนางระดับหนึ่งในราชสำนัก แม้ว่าจะเป็นขุนนางชั้นสูงแต่เมื่อพบกับกั๋วกงก็ยังต้องแสดงความเคารพ

ทว่าเพียงแค่ประคองมือและค้อมตัวเล็กน้อยก็เพียงพอ ไม่จำเป็นต้องคุกเข่าลง

ส่วนฮ่องเต้ จินเฟิงคิดว่าตัวเขาเองคงไม่มีวันได้เข้าเฝ้า

แม้ว่าวิชาการตีเหล็กเหล่านี้จะมีความสำคัญมาก แต่จินเฟิงก็ยอมแลกหากสามารถได้มาซึ่งตำแหน่งขุนนาง

น่าเสียดายที่ชิ่งไหวส่ายศีรษะแล้วเอ่ย “ต้าคังดำรงอยู่อย่างสงบมามากว่าสามร้อยปี จำนวนขุนนางหรือชนชั้นสูงนั้นมีจำนวนมากมาย ดังนั้นฝ่าบาทจึงมีกฎเหล็กออกมาว่า ผู้ใดที่ไม่ได้ประสบความสำเร็จทางการทหาร จะไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นรับตำแหน่งขุนนางหรือบรรดาศักดิ์ใด ๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นเงื่อนไขที่ท่านเสนอมาข้าไม่อาจรับปากได้ ท่านอาจารย์เปลี่ยนเป็นสิ่งอื่นเถิด!”

“หากไม่ได้มีความดีความชอบในทางทหารก็ไม่สามารถรับตำแหน่งได้อย่างนั้นหรือ?”

จินเฟิงทวนคำพูดของชิ่งไหวอีกครั้ง จากนั้นก็เอ่ยถาม “นั่นหมายความว่า หากข้ามีผลงานทางการทหาร ข้าก็สามารถแลกตำแหน่งได้ใช่หรือไม่?”

“ถูกต้อง! แต่ว่าท่านไม่ใช่นายทหาร ท่านจะประสบความสำเร็จทางการทหารได้อย่างไร?” ชิ่งไหวถามอย่างสงสัย

“ข้าไม่ใช่ทหาร แต่ท่านเป็น” จินเฟิงถามต่อ “ข้าได้ยินมาจากจางเหลียงว่าทหารม้าของชาวตั่งเซี่ยงสร้างปัญหาให้ท่านโหวมาโดยตลอด หากข้าช่วยให้ท่านโหวเอาชนะทหารม้าของตั่งเซี่ยงได้จะนับเป็นผลงานทางการทหารหรือไม่?”

เมื่อชิ่งไหวได้ยินสิ่งนี้ เขาก็ลุกขึ้นยืนทันที

ในยุคสมัยอาวุธเย็นเช่นนี้ ทหารม้าคือราชาบนบก นับว่าเป็นเหล่าทัพที่แข็งแกร่ง

ต้าคังตั้งอยู่ในที่ราบลุ่ม ผลิตม้าพันธุ์ดีได้ไม่มากนักจึงยากที่จะก่อตั้งกองทหารม้าขึ้นมา และโดยปกติแล้ว กองทัพที่มีจะเป็นทหารราบทั้งหมด

สำหรับอาวุธและการต่อสู้นั้นก็ยังคงเป็นแบบดั้งเดิม สิ่งเดียวที่พวกเขาสามารถทำได้เมื่อเผชิญหน้ากับทหารม้าคือการทำเสาหลักกีดขวางม้าแบบหยาบ ๆ พร้อมโล่ป้องกันและหอกยาวขึ้น เมื่อกลุ่มทหารม้าหุ้มเกราะบุกมาถึงกลุ่มหอกนี้ ก็ต้องรู้สึกราวกับกำลังจะเข้าเครื่องบดเนื้อ

แต่โชคร้ายที่ชาวตั่งเซี่ยงที่อาศัยอยู่ทางตะวันตกของต้าคังกับชาวชี่ตันที่อยู่ทางเหนือต่างก็เป็นชนเผ่าที่เลี้ยงสัตว์ พวกเขามีม้าอยู่ทุกแห่งหน การจัดตั้งกองทหารม้าจึงง่ายราวกับยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม

ดังนั้นทหารต้าคังจึงถูกทหารม้าตั่งเซี่ยงและชี่ตันโจมตีอย่างโหดเหี้ยมและน่าสังเวชเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา

พวกเขาแทบจะต้องพึ่งพากองชีวิตของมนุษย์เพื่อสกัดกั้นคู่ต่อสู้

ชิ่งไหวต่อสู้กับชาวตั่งเซี่ยงมาตั้งแต่เขายังอายุสิบกว่าปีเท่านั้น และได้เผชิญกับความสูญเสียจากทหารม้ามามากมาย เมื่อได้ยินจินเฟิงบอกว่าสามารถต่อสู้กับทหารม้าได้ย่อมมีความตื่นเต้นเป็นธรรมดา

“ท่านอาจารย์มีวิธีการต่อสู้กับทหารม้าหรือ?”

ดวงตาของชิ่งไหวเป็นประกายอย่างอยากรู้อยากเห็น

ชิ่งไหวถาม

“ข้าต้องการของบางอย่าง ท่านโหวช่วยข้าหาของสิ่งนั้นที”

จินเฟิงหยิบถ่านดำขึ้นมาหนึ่งก้อนแล้วจดสิ่งที่เขาต้องการลงบนกระดานไม้

ของมากมายเหล่านี้เขาหาซื้อในตัวอำเภอไม่ได้ และหวังว่าอีกฝ่ายจะสามารถหาของเหล่านั้นพบ

ชิ่งไหวไม่มีท่าทีลังเลใจ เขาส่งมอบกระดานนั้นให้ผู้ดูแล

ผู้ดูแลรีบขี่ม้าเร็วไปพร้อมองครักษ์อีกสองนายทันที

“นอกจากหน้าไม้แล้ว ยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่สามารถยับยั้งทหารม้าได้ชะงัดนัก!”

บัณฑิตหนุ่มหยิบมัดลวดเหล็ก จากนั้นก็ดึงออกมาเกือบสองฉื่อ แล้วมอบมันให้ชิ่งไหว

เขาได้สิ่งนี้มาโดยบังเอิญระหว่างการถลุงเหล็กเมื่อคืน

“สิ่งนี้สามารถใช้จัดการกับทหารม้าได้หรือ?”

ท่านโหวหนุ่มหยิบเส้นลวดนั้นขั้นมาแล้วจ้องมองด้วยความสงสัย

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นสิ่งนี้

ของสิ่งนี้มีน้ำหนักเบามาก จะสามารถจัดการกับทหารม้าได้อย่างไร?

“แม้ลวดเหล็กนี้จะดูไม่แข็งแรงแต่มันก็มีความเหนียวมาก หากใช้มันขันเป็นลวดหนามขนาดยาวเอาไว้ เมื่อม้าศึกเข้ามาติด ขาทั้งสี่ของมันจะถูกลวดหนามนี้ทิ่มแทงจนเจ็บปวด จากนั้นมันก็จะเหวี่ยงร่างคนที่อยู่บนหลังลงกับพื้นโดยที่เราไม่ต้องออกแรงเลยสักนิด”

จินเฟิงอดไม่ได้ที่จะคิดถึงรั้วลวดหนามบนผนังในยุคหลัง ๆ

ในชาติที่แล้ว เขามีเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งอาศัยอยู่ในเขตทหาร ตอนกลางคืนหมอนั่นปีนกำแพงออกมาเพื่อที่จะหนีเที่ยวแต่กลับถูกลวดหนามเกี่ยวเอาไว้ อีกฝ่ายบอกว่ายิ่งดิ้นรนมันก็ยิ่งรัดเขาแน่นมากขึ้น

“จริงหรือ?” ท่านโหวหนุ่มยังคงไม่ค่อยเชื่อ

“หรือว่าพวกเราจะลองดู?” จินเฟิงถามด้วยรอยยิ้ม

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์