บทที่ 56 ปีนหน้าผา
“หม่านชาง พวกเขาล้วนเป็นคนที่ทำงานหนัก ลากไปได้สักพักเหงื่อก็ออกเต็มตัว เหงื่อที่เปียกโชกและเชือกที่เสียดสีทำให้เสื้อผ้าที่ใส่ขาดหลุดรุ่ยได้ในเวลาไม่ถึงวัน แล้วคนยากคนจนจะไปเอาเสื้อผ้ามากมายมาจากที่ใด?”
เจิ้งฟางที่บังเอิญเดินผ่านมาอธิบายว่า “สตรีที่อยู่ด้านหลัง ปกติแล้วจะเป็นภรรยาของคนลากเรือ พวกนางเห็นภาพเหล่านี้มาเยอะ คงจะชินและไม่เขินอายแล้ว”
“ภรรยาของคนลากเรือไม่ได้ช่วยลาก เหตุใดต้องติดตามไปด้วยเล่า?” หม่านชางเอ่ยถามอีกครั้ง
“เพราะว่าการลากเรือเป็นงานหนัก อาหารการกินจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ มิเช่นนั้น พวกเขาจะไม่มีแรงทำงาน พวกนางก็เลยรับหน้าที่แบกเสบียงอาหารไว้ด้านหลัง สามีที่มาลากเรือจะได้ไม่ต้องทนหิว”
เจิ้งฟางกล่าวต่อ “บางครั้งหากคนลากเรือเหนื่อยจนทนไม่ไหว พวกนางก็สามารถเข้าไปแทนที่ได้ เพื่อให้บุรุษผู้นั้นได้พักหายใจ”
“แล้วตอนลากเรือพวกนางสวมใส่เสื้อผ้าหรือไม่?” หม่านชางถามอย่างอยากรู้
“แน่นอนว่าไม่ได้ใส่เช่นเดียวกัน” เจิ้งฟางกล่าว “ทว่าสตรีเหล่านี้จิตใจแข็งแกร่งกว่าบุรุษบางคนเสียอีก เช่นนั้น ใครกล้าหัวเราะพวกนางลง”
ในยุคสมัยนี้เสื้อผ้ามีราคาสูงมาก หลายคนมีเสื้อผ้าที่สวมใส่ตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิจนถึงฤดูหนาวเพียงตัวเดียวเท่านั้น หากพวกมันขาด พวกเขาก็จะเย็บปะเพื่อใส่ต่อไปเรื่อย ๆ
ก่อนกวานเสี่ยวโหรวจะแต่งงานกับจินเฟิง นางก็มีเสื้อผ้าเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น โดยเป็นเสื้อผ้าที่ตัดเย็บตั้งแต่นางอายุสิบปี เมื่อนางโตขึ้นก็จะค่อย ๆ แก้ไขให้พอดีกับขนาดตัว พอแต่งงานกับบัณฑิตหนุ่มแล้วถึงมีเสื้อผ้าหลายชิ้น อย่างไรก็ตาม บางชิ้นก็ยังมีร่องรอยปะซ่อมอยู่บ้าง
แต่นี่ก็ถือว่าไม่เลว สำหรับครอบครัวที่ยากจน บางบ้านมีเสื้อผ้าเพียงหนึ่งหรือสองตัวเท่านั้น คนที่ออกไปข้างนอกจะได้สิทธิ์สวมใส่ ส่วนคนที่ไม่ได้ออกไปไหนก็ต้องเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน
หากต้องลงไปทำงานที่แปลงดินก็จะตื่นแต่เช้ามืด ไม่ใช่เพราะว่าขยัน แต่เป็นเพราะไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่ การออกจากบ้านตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างช่วยให้ไม่มีใครเห็น
เสื้อผ้าของคนลากเรือสามารถขาดรุ่ยได้ง่าย พวกเขาจึงจำเป็นต้องเปลือยกาย ไม่เช่นนั้น เงินที่ได้จากการทำงานหนักคงจะไม่เพียงพอเลี้ยงชีพ หากต้องนำไปซื้อเสื้อผ้า
“พวกเขาได้ค่าตอบแทนในการลากเรือเท่าไร?” จินเฟิงถาม
“เรื่องนี้พูดยาก หากหนทางไม่ยากลำบากนักค่าแรงจะอยู่ที่วันละเจ็ดถึงแปดเหรียญทองแดง แต่หากเป็นหนทางธุรกันดารเงินที่ได้รับก็จะสูงขึ้น อาจจะอยู่ที่วันละสามสิบหรือสี่สิบเหรียญทองแดง”
“แค่นี้เองหรือ?” หม่านชางถาม
แม้แต่จินเฟิงเองก็ยังแปลกใจ
อาชีพลากเรือทำเงินได้แค่นี้หรือ?
ไม่แปลกใจที่จางเหลียงบอกว่าค่าตอบแทนที่เขาให้เดือนละห้าร้อยเหรียญทองแดงนั้นมากเกินไป
“เส้นทางที่ยากลำบากได้เงินเพียงสามสิบหรือสี่สิบเหรียญทองแดงเท่านั้น”
เจิ้งฟางกล่าวต่อ “ในเส้นทางที่เต็มไปด้วยหินผา หากไปเจอกระแสน้ำแรง ไม่ต้องพูดถึงคนธรรมดาเลย เพราะแม้แต่คนลากเรือที่แข็งแรงยังเสียชีวิตจนนับไม่ถ้วนทุกปี”
“ดังนั้นผู้คนที่ทำงานหนักเหล่านี้ ก็ควรได้รับค่าตอบแทนที่มากขึ้น” จินเฟิงพยักหน้าเห็นด้วย
“หากได้ค่าตอบแทนวันละสี่สิบเหรียญทองแดง ข้าเองก็เต็มใจที่จะทำงานหนัก” ดวงตาของหม่านชางเต็มไปด้วยความอิจฉา
แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้น เขาก็ไม่นึกอิจฉาคนลากเรืออีกต่อไป
เพราะเรือไม้เดินหน้ามาไม่กี่ลี้ก็ถึงบริเวณหุบเขา
ยอดเขาทั้งสองด้านหดตัวเข้าด้านในเหมือนเอวที่คอดบางของสตรี แม่น้ำเจียหลิงที่มีความกว้างเกือบสามสิบจั้ง แคบลงเกินกว่าครึ่ง และกระแสน้ำตรงนี้ก็เชี่ยวกราก
อีกทั้งหน้าผาทั้งสองข้างก็ชันจนแทบจะเป็นแนวดิ่งอยู่รอมร่อ
ถึงแม้ว่าหน้าผาจะมีความกว้างกว่าสามสิบจั้ง แต่ก็คงไม่มีที่พอให้ยืน แล้วคนลากเรือจะลากเรือลำใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร?
“แบบนี้เราจะไปข้างหน้ากันอย่างไร?”
หม่านชางถามสิ่งที่จินเฟิงคิดในใจออกมา
“เจ้ามองดูก็รู้มิใช่หรือ?”
เจิ้งฟางกล่าวต่อ “หลังจากเห็นเช่นนี้แล้ว เจ้าก็น่าจะรู้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงหาเงินได้วันละสามสิบ สี่สิบเหรียญทองแดง”
หม่านชางเห็นว่าเจิ้งฟางไม่ได้อธิบายอะไร เขาเลยขี้เกียจซักไซ้ แต่เดินขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือพร้อมกับมองดูอย่างสงสัยแทน
ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์