บทที่ 57 เมืองเว่ยโจว
เหล่าคนลากเรือคว้าเชือกป่านเส้นหนาขึ้น จากนั้นคนลากเรือคนหนึ่งก็นำเชือกป่านพาดบ่าเอาไว้ ก่อนจะคว้าเชือกที่มีอยู่ก่อนหน้านี้และเริ่มปีนป่าย
คนลากเรือที่เหลือคว้าเชือกเส้นเดิมผูกเข้ากับบ่วงเชือกของตนและตามชายคนเมื่อครู่ที่นำขึ้นไปก่อน
เป็นอย่างที่เจิ้งฟางพูด ระหว่างที่ปีนหน้าผา มือเท้าอันหยาบกร้านไม่ระมัดระวังของบุรุษนั้นทำให้พวกเขาลื่นล้มหลายครั้ง โชคดีที่ใช้มือจับเชือกเอาไว้ ไม่เช่นนั้น คงได้ตกลงไปในน้ำที่ไหลเชี่ยวเป็นแน่
หลังจากผ่านไปกว่าหนึ่งเค่อ ในที่สุดพวกเขาทั้งหมดก็ขึ้นไปบนหน้าผา
จากนั้นเหล่าคนเรือก็ปลดเชือกออกจากตัว วิ่งไปด้านหน้าประมาณเจ็ดจั้ง และนำเชือกนั้นไปพันรอบต้นไหม้ใหญ่สองรอบ ส่วนเชือกที่เหลือก็ทิ้งลงน้ำ
ปกติบนเชือกถักจะมัดปมเอาไว้ เมื่อเชือกไหลตามกระแสน้ำไปยังจุดที่พวกเขาต้องการ คนลากเรือก็จะนำเชือกบ่วงร้อยไว้ใต้ปมและกระตุกให้แน่นเพื่อให้เชือกสองเส้นต่อกัน จากนั้นก็ทิ้งเชือกลงแม่น้ำอีกครั้ง
“พวกเขากำลังทำอะไร?”
หม่านชางเกาหัวและถามออกมา
“ทางนี้อันตรายเกินไป ไม่มีทางให้เดินเท้า พวกเขาจำเป็นต้องยึดเชือกสองเส้นเข้าด้วยกันเพื่อให้มันยาวขึ้น”
เจิ้งฟางอธิบาย “ท่านอาจารย์ จับไว้แน่น ๆ ระวังจะตกลงไป”
จินเฟิงรีบเอามือคว้าราวที่อยู่ตรงหน้า
เชือกเส้นยาวไหลไปตามแม่น้ำที่พวกเขาผ่านมาเมื่อครู่
สตรีที่รออยู่ด้านล่างคว้าเชือกที่ลอยมาตามน้ำเอาไว้และผูกเข้ากับเชือกเส้นเดิม
หลังจากแน่ใจว่าเชือกได้ร้อยเข้าหากันแน่นแล้ว พวกนางก็ปลดเชือกที่มัดอยู่กับต้นไม้ออก
จากนั้นเรือก็ไหลไปตามกระแสน้ำทันที
แต่มันไม่ได้ลอยไปไกลนักเพราะถูกคนลากเรือคว้าเอาไว้ก่อน
“ผ้าขาวยาวสามฉื่อ เฮ้! ป่านสี่ตำลึงเงิน เฮ้! เท้าเหยียบหิน เฮ้! มือขุดทราย เฮ้! กายเปลือยเปล่า เฮ้! มุ่งหน้าไป เฮ้!…”
คนลากเรือร้องเพลงปลุกใจอีกครั้ง ก่อนจะลากเรือไม้ไปข้างหน้าด้วยพละกำลังที่มีทั้งหมด
แม้ว่าพื้นด้านล่างจะไม่น่ากลัวเท่าหน้าผาที่ไม่มีที่ให้เท้าเหยียบ แต่มันก็คับแคบขนาดที่บางตำแหน่งสามารถก้าวไปได้ด้วยเท้าเพียงข้างเดียวเท่านั้น
คนลากเรือเกือบจะลงไปคลานที่พื้น สีหน้าของพวกเขาดุดัน ในขณะที่ก้าวไปด้านหน้า พวกเขาก็คว้าก้อนหินเอาไว้
เมื่อเรือถูกลากไปยังช่องแคบซึ่งมีกระแสน้ำไหลเชี่ยว สตรีทั้งสองคนก็วางตะกร้าลงบนพื้นและถอดเสื้อผ้าออกอย่างรวดเร็วเพื่อเข้าไปร่วมขบวนลากเรือ
พวกนางทำงานมาเป็นเวลานาน ผิวเนื้อจึงดำคล้ำและหยาบกร้านเหมือนกับบุรุษที่ลากเรือไม่มีผิด หม่านชางจับจ้องภาพเบื้องหน้าด้วยความสนใจ ในขณะที่จินเฟิงหวนนึกถึงบทเรียนที่เคยศึกษาอย่าง ‘เรือลากจูงบนแม่น้ำโวลก้า’*[1]
เมื่อพิจารณาภาพดังกล่าว จินเฟิงและเพื่อนร่วมชั้นยังเคยถกเถียงกันว่า จะมีคนที่สามารถอดทนต่อความทุกข์ทรมานขนาดนั้นได้จริง ๆ เหรอ
แต่หลังจากได้เห็นคนลากเรือด้วยตาตัวเองวันนี้แล้ว ชายหนุ่มก็ตระหนักได้ว่าความทุกข์ในโลกนี้มีมากกว่าที่เขาจินตนาการไว้เยอะ
จินเฟิงนับถือและเห็นอกเห็นใจต่อสตรีทั้งสอง
หากมีทางเลือก ใครจะอยากมาเป็นคนลากจูงแบบนี้กัน?
ในตอนแรก ๆ พวกนางคงจะเขินอายเป็นอย่างมากกระมัง?
ก่อนหน้านี้ จินเฟิงเป็นคนเห็นแก่ตัวมาโดยตลอด และหลังจากเดินทางข้ามเวลามา เขาก็ไม่เคยคิดสร้างประโยชน์ให้กับโลก ชายหนุ่มเพียงอยากจะมีชีวิตที่สุขสบาย เป็นเจ้าของบ้านและที่ดินที่ร่ำรวยเท่านั้น
แม้ว่าเขาจะมีโรงงานเย็บผ้าและเตาเผาที่ซีเหอวาน แต่เขาก็ไม่ได้ต้องการพัฒนาวิถีชีวิตของชาวบ้านอย่างแท้จริง เขาแค่ต้องการให้พวกชาวบ้านช่วยหาเงิน
แต่ตอนนี้จินเฟิงมีความรู้สึกในใจบางอย่าง นี่เป็นครั้งแรกที่บัณฑิตหนุ่มอยากจะช่วยเหลือผู้อื่น หากในอนาคตเขามีกำลังและความสามารถมากกว่านี้
เรือไม้เคลื่อนที่ไปด้านหน้าทีละน้อย และค่อย ๆ ผ่านช่วงหุบเขาแคบ ๆ นี้ไป
แม่น้ำกว้างขึ้นอีกครั้ง และบริเวณริมฝั่งก็สามารถเดินเท้าได้ง่ายขึ้น


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์