บทที่ 62 จุดยุทธศาสตร์
ที่สานเป่ยมีเทือกเขาที่เป็นพรมแดนตามธรรมชาติระหว่างต้าคังและตั่งเซี่ยง
ห่างออกไปยี่สิบลี้ทางตอนเหนือของเมืองเว่ยโจวจะมีหุบเขาอยู่กลางเทือกเขาแห่งนี้ และหุบเขาที่ว่าก็คือชิงสุยกู่
ในช่วงเริ่มต้นของการก่อตั้งต้าคัง ชิงสุยกู่เป็นเส้นทางที่พวกพ่อค้าจะใช้สัญจรไปยังตั่งเซี่ยงหรือเมืองแห่งการค้าขนาดใหญ่อย่างเว่ยโจว
แต่ตอนนี้ชิงสุยกู่กลายเป็นอุปสรรคสำหรับต้าคังในการตอบโต้ชาวตั่งเซี่ยง และถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการต่อต้านชาวตั่งเซี่ยงอีกด้วย
หากพวกนั้นตีชิงสุยกู่แตก ทหารม้าของตั่งเซี่ยงจะสามารถเลี่ยงผ่านเมืองเว่ยโจว มุ่งสู่จวนจิงจ้าวในที่ราบภาคกลาง จนบุกไปถึงซีตูได้!
นี่คือสาเหตุที่ชิ่งไหวสู้ไม่ยอมถอย
กองทัพเถี่ยหลินประจำการอยู่บริเวณตีนเขาด้านหนึ่งของชิงสุยกู่
ก่อนที่พวกเขาจะเข้าไปใกล้กว่านี้ ทั้งสองก็ถูกทหารรักษาการณ์หยุดไว้
จงอู่พาจินเฟิงมารายงานตัว และทหารรักษาการณ์ผู้นั้นก็รีบวิ่งไปที่ค่ายเพื่อรายงาน
“พี่ใหญ่จง ข้าเป็นผู้มาเยือนใหม่ หากให้ข้าเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด คนอื่นจะเชื่อฟังข้าหรือ?” จินเฟิงถาม
อันที่จริงนี่คือความกังวลที่ใหญ่ที่สุดของเขา
อยู่ ๆ เขาก็ปรากฏตัวขึ้น หากไปถึงที่นั่นแล้วไม่มีใครยอม จะไม่เดือดร้อนเอาหรือ?
คงไม่ใช่ให้เขาออกไปต่อสู้กับชาวตั่งเซี่ยงเพียงลำพังหรอกนะ?
“หากท่านมาที่นี่อย่างเหอหมิงชิน แน่นอนว่าทุกคนย่อมไม่พอใจ อย่างไรก็ตาม กองทัพเถี่ยหลินที่มีท่านโหวเป็นผู้บัญชาการแต่งตั้งให้ท่านช่วยรักษาการณ์ทางทหารชั่วคราวด้วยตัวเอง ดังนั้น ไม่มีใครในกองทัพเถี่ยหลินที่จะไม่พอใจกับคำสั่งนี้”
จงอู่กล่าวอย่างมั่นใจ “ท่านอาจารย์ไม่ต้องกังวล ฝ่ายควบคุมวินัยแห่งกองทัพนำโดยหลิวฉยง หากใครกล้าไม่เชื่อฟังท่าน หลิวฉยงจะจัดการคนผู้นั้นอย่างแน่นอน!”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
หลิวฉยงก็เป็นหนึ่งในองครักษ์ของชิ่งไหวซึ่งจินเฟิงเองก็รู้จักเขาเช่นกัน
บัณฑิตหนุ่มรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยินว่ามีคนรู้จักดูและเรื่องระเบียบในกองทัพ
เมื่อผู้ช่วยของชิ่งไหวทราบถึงการมาถึงของจินเฟิง เขาก็รีบนำคนไปต้อนรับทันที
แม้ว่าเขาจะมากับจงอู่ที่สามารถยืนยันตัวตนให้ได้ แต่รองผู้บัญชาการก็ยังคงต้องการตรวจสอบป้ายประจำตัวของจินเฟิง เอกสารประทับตราของชิ่งไหว และอื่น ๆ อย่างรอบคอบ
จากนั้นเขาก็คุกเข่าลงข้างหนึ่ง พร้อมกำหมัดแน่นแล้วเอ่ย “ข้าสวีเซียว ยินดีที่ได้พบกับแม่ทัพจิน!”
“ผู้ใต้บังคับบัญชายินดีที่ได้พบท่านแม่ทัพจิน!”
เมื่อรองแม่ทัพคุกเข่าข้างหนึ่งลงเพื่อทำความเคารพ เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาคนอื่น ๆ ก็แสดงความเคารพต่อจินเฟิงเช่นกัน
“ท่านโหวอยู่ที่ใด พาข้าไปหาเขาเร็ว ๆ”
จินเฟิงไม่มีอารมณ์รักษาความสุภาพกับคนเหล่านี้นัก เขาถามอย่างกังวล
“ท่านแม่ทัพ โปรดตามข้ามา!”
สวีเซียวพาจินเฟิงเข้าไปในกระโจมของกองทัพ
ทันทีที่เขาเข้าไปในกระโจม จินเฟิงก็ได้กลิ่นสมุนไพรลอยแตะเข้าที่จมูก
ชิ่งไหวนอนเปลือยเปล่าไม่ได้สติอยู่บนเตียง โดยมีผ้าพันแผลอยู่ที่หน้าอกด้านขวาและหน้าผากของเขา
“อาการของท่านโหวเป็นอย่างไรบ้าง? เขาจะฟื้นขึ้นเมื่อใด?”
จินเฟิงมองไปที่หมอทหารที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
“เรียนท่านแม่ทัพ ท่านโหวซี่โครงหักสองซี่ ปอดด้านซ้ายของเขาก็ได้รับความเสียหาย แต่บริเวณหน้าผากของเขาได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก ข้าไม่สามารถตอบได้จริง ๆ ว่าท่านโหวจะฟื้นขึ้นเมื่อใด”
หมอทหารกล่าวอย่างจนปัญญา
“เอาล่ะ ข้าฝากดูแลท่านโหวด้วย”
หมอเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้ และจินเฟิงก็ไม่อยากรออย่างไร้ประโยชน์ ดังนั้นเขาจึงพยายามทำความคุ้นเคยกับกองทัพเถี่ยหลินอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็คิดถึงกลยุทธ์ในการจัดการกับศัตรูไปด้วย
ชายหนุ่มเชิญรองผู้บัญชาการไปด้านนอกกระโจมและถาม “ตอนนี้สถานการณ์ปัจจุบันของกองทัพเถี่ยหลินเป็นอย่างไรบ้าง?”
“กองทัพเถี่ยหลิน มีกำลังพลทั้งหมดจำนวนห้าพันนาย ปีที่แล้วเราออกรบไปกับท่านโหวและสูญเสียทหารไปมากกว่าหนึ่งพันสองร้อยนาย เมื่อต้นปีเราได้ทหารใหม่มาเพิ่มมากกว่าเจ็ดร้อยนาย ในการสู้รบวันนี้มีทหารสามร้อยนายออกไปรบ พวกเขาได้เสียชีวิตลงในหน้าที่กว่าหนึ่งร้อยยี่สิบนาย และบาดเจ็บมากกว่าหนึ่งร้อยเจ็ดสิบนาย ปัจจุบันจึงเหลือกองกำลังที่สามารถต่อสู้ได้สี่พันหนึ่งร้อยแปดสิบหกนาย ส่วนเสบียงของกองทัพเหลือเพียงพอสำหรับยี่สิบวัน…”
รองผู้บัญชาการได้เตรียมพร้อมมาตั้งแน่เนิ่น ๆ เขาอธิบายสถานการณ์ปัจจุบันของกองทัพเถี่ยหลินอย่างเชี่ยวชาญ
จินเฟิงค่อนข้างพอใจกับความแข็งแกร่งในการต่อสู้ ณ ปัจจุบันของกองทัพเถี่ยหลิน
หลังจากฟังคำแนะนำแล้ว บัณฑิตหนุ่มก็เดินตามรองผู้บัญชาการไปที่ยอดเขาทางด้านซ้ายของค่ายทหารและเข้าไปในชิงสุยกู่
ชิ่งสุยกู่มีพื้นที่เป็นหุบเขา มีความยาวประมาณสองลี้ กว้างประมาณสี่สิบแปดจั้ง ด้านขวาเป็นแม่น้ำสายเล็กกว้างหกถึงเก้าจั้ง ด้านซ้ายเป็นพื้นที่ราบมากกว่าสามสิบจั้ง
ประวัติศาสตร์ของโลกนี้แตกต่างจากชาติก่อน ในประวัติศาสตร์ชาติก่อน ดาวกระจายและเครื่องเหวี่ยงหินปรากฏขึ้นในสมัยจ้านกั๋ว*[3] ในขณะที่เกือกม้ารูปตัวยูปรากฏขึ้นในสมัยราชวงศ์เหยวียน
ตอนอยู่ที่ซีเหอวาน บัณฑิตหนุ่มเห็นว่าม้าของชิ่งไหวและคนอื่น ๆ สวมเกือกม้า เขาเลยคิดว่าอาวุธเช่นเครื่องเหวี่ยงหินและดาวกระจายได้ปรากฏขึ้นแล้ว
ใครจะรู้ว่ายังไม่มี…
โดยทั่วไปอาวุธใหม่จะมีประสิทธิภาพมากที่สุดตอนใช้ครั้งแรก เนื่องจากศัตรูไม่ได้เตรียมพร้อมรับมือกับมันมาก่อน
เช่นเดียวกับที่ชิ่งไหวสามารถขับไล่ทหารม้าของชาวตั่งเซี่ยงได้ในวันนี้ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะรั้วลวดหนาม
ในเมื่อบนโลกนี้ไม่เคยมีเครื่องเหวี่ยงหิน ดาวกระจาย หรือหนามกระสุน ก็คงต้องสร้างมันให้ชาวตั่งเซี่ยงได้ประหลาดใจดูสักครั้ง
ในขณะที่จินเฟิงกำลังวางแผนการโจมตีศัตรู แม่ทัพฟ่านที่เพิ่งกลับมาจากการตรวจสอบกิจการทางทหารก็ได้รับข่าวการเปลี่ยนแปลงผู้บัญชาการของกองทัพเถี่ยหลินเช่นกัน
“เจ้าว่าอย่างไรนะ ชิ่งไหวได้รับบาดเจ็บสาหัสหมดสติไป และมอบหมายให้จินเฟิงดูแลกองทัพเถี่ยหลินแทนงั้นหรือ”
แม่ทัพฟ่านตกใจมากเมื่อได้ยินกุนซือของเขาพูด “ในกองทัพไม่ควรมีเรื่องล้อเล่น นี่ไม่ใช่เรื่องตลก!”
“ท่านแม่ทัพ ข้าจะกล้าพูดเรื่องไร้สาระเช่นนี้ได้อย่างไร”
กุนซือรีบหยิบจดหมายออกมาจากโต๊ะอย่างรวดเร็ว “นี่คือหนังสือแต่งตั้งที่ออกโดยท่านแม่ทัพชิ่งไหว”
“ชิ่งไหวไม่ได้ล้อเล่นใช่หรือไม่?”
แม่ทัพฟ่านโกรธจนเคราสั่น “จินเฟิงผู้นั้นเป็นเพียงช่างฝีมือ แล้วเขาจะรู้วิธีต่อสู้ได้อย่างไร?”
“ท่านแม่ทัพ ชิงสุยกู่ที่ได้รับการปกป้องโดยกองทัพเถี่ยหลินมีความสำคัญอย่างยิ่ง และจะต้องไม่ถูกทำลาย ท่านคิดว่าเราควรปลดจินเฟิงผู้นี้ออกจากตำแหน่งหรือไม่?”
กุนซือเฒ่าถาม
“ตามกฎเกณฑ์ทางทหาร มีเพียงฝ่าบาทเท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนหนังสือแต่งตั้งที่ชิ่งไหวเขียนก่อนจะหมดสติไปได้ แม้แต่ข้าก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงคำสั่งได้เช่นกัน!”
แม่ทัพฟ่านเดินวนไปวนมาอยู่รอบโต๊ะหลายครั้ง “ไปที่กองทัพเถี่ยหลินเพื่อจับตาดูจินเฟิงผู้นี้ หากพบว่าเขาทำอะไรที่ไม่เหมาะสม ให้ส่งคนกลับมาแจ้งให้ข้าทันที!”
[1] เครื่องเหวี่ยงหิน : เครื่องยิงหิน หรือ เครื่องเหวี่ยงหิน เป็นหนึ่งในอาวุธหนักที่ถูกจัดให้อยู่ในประเภทยานยนต์สนับสนุนการรบ หลักการทำงานคือนำหินก้อนใหญ่วางลงบนเครื่องยิง เล็ง และปล่อยสลักให้เครื่องทำการเหวี่ยงหินออกไปที่เป้าหมาย โดยปกติใช้ทำลายกำแพงหรือโจมตีใส่ศัตรูที่เป็นกลุ่มใหญ่ ๆ
[2] หนามกระสุน : หนามกระสุน หรือ ขวาก คือไม้หรือเหล็กที่มีปลายแหลมเหมือนหนาม เป็นอุปกรณ์ป้องกันประเภทหนึ่งทำด้วยวัสดุเนื้อแข็ง ใช้โรยเพื่อขัดขวางการเดินทัพของศัตรู เนื่องจากมีความแหลมคม ส่วนมากมักใช้ชะลอความเร็วพาหนะอย่างม้าหรือช้างศึก
[3] จ้านกั๋ว (战国) หรือยุครณรัฐ เป็นยุคหนึ่งในประวัติศาสตร์จีนซึ่งมีการรบรากันระหว่างรัฐต่าง ๆ รวมถึงการปฏิรูประบบราชการและทหาร

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์