บทที่ 63 ข่าวร้าย
ในวันนั้นกุนซือของแม่ทัพฟ่านก็ได้เดินทางออกจากเว่ยโจวและรีบมุ่งหน้าไปยังกองทัพเถี่ยหลิน
ขณะเดียวกัน ที่ค่ายตั่งเซี่ยงก็กำลังมีบรรยากาศที่คึกคัก
กลุ่มนายทหารชั้นสูงกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันในกระโจมขนาดใหญ่ พวกเขาดื่มกินและพูดคุยเกี่ยวกับการต่อสู้ในช่วงบ่ายที่ผ่านมา
“ให้ตายเถอะ ข้าเกือบจับชิ่งไหวตัวเป็น ๆ ได้แล้ว!”
“คนของข้าก็ฟันโดนชิ่งไหว เกือบจะแทงเขาได้แล้วเชียว แต่องครักษ์ข้างกายดันเข้ามาช่วยไว้ได้ทัน น่าเสียดายจริง ๆ”
“น่าเสียดายมาก ปกติชิ่งไหวเอาแต่หดหัวอยู่ในกระดอง หาโอกาสที่เขาจะมาที่แนวหน้าแห่งนี้ยากมาก แต่เราก็ยังจับเขาไม่ได้!”
“ทั้งหมดเป็นเพราะลวดเหล็กเหล่านั้นที่เข้าไปพันขาม้าและแกะออกไม่ได้ มันน่าโมโหยิ่งนัก!”
“ปกติชิ่งไหวก็รับมือได้ยากอยู่แล้ว ตอนนี้เขามีวิธีจัดการกับม้าศึกของเรา ในอนาคตคงไม่ง่ายแล้วล่ะ!”
“ทุกคนไม่ต้องกังวลไป คนของข้าจับทหารกองทัพเถี่ยหลินไว้ได้หลายนาย ข้าให้คนไปสอบปากคำพวกเขา เห็นบอกว่ารั้วลวดหนามของชิ่งไหวถูกใช้จนหมดแล้ว หากเราไม่ล่าถอยในวันนี้และบุกโจมตีเข้าไปเรื่อย ๆ ย่อมสังหารทหารกองทัพเถี่ยหลินได้ในคราวเดียวและอาจจับชิ่งไหวได้ทั้งเป็น!”
“ข่าวนี้เชื่อถือได้หรือ? คนของชิ่งไหวนั้นเฉลียวฉลาด เกรงว่าจะเป็นแผนการของพวกเขา”
“ข้าว่ามันไม่น่าจะใช้แผนการของชิ่งไหว เพราะตอนที่คนของข้ากลับมาได้มัดเชลยศึกผู้นั้นไว้บนหลังม้าแล้วลากมาตามทาง ทรมานจนเขาตาย เมื่อเรากลับมาถึงค่าย เชลยศึกที่เหลือจึงตกใจมากจนฉี่แทบราด ถามสิ่งใดตอบสิ่งนั้น”
“มันจะใช่แผนการหรือไม่พรุ่งนี้มาดูกัน! ไปหาไต้ซือเพื่อถกยุทธวิธีเถอะ หากยังมีลวดหนามอยู่บนพื้นเราก็ต้องคิดหาทางออก หากกำจัดมันได้แล้วค่อยยกทัพไปเอาชัยจากกองทัพเถี่ยหลินและจับชิ่งไหว!”
“ทำลายกองทัพเถี่ยหลิน และจับชิ่งไหวทั้งเป็น!”
ผู้ใต้บังคับบัญชาที่เหลือต่างก็ยกจอกเหล้าขึ้นและตะโกนเสียงดัง
หลังจากดื่มสุราแล้ว นายทหารชั้นสูงกลุ่มหนึ่งก็มาที่กระโจมของผู้บังคับบัญชาเพื่อพูดคุยเรื่องการยกทัพไปโจมตีกองทัพเถี่ยหลิน
ครั้งนี้แม่ทัพใหญ่ตั่งเซี่ยงที่รับผิดชอบการรุกรานทางใต้คือหนึ่งในเชื้อพระวงศ์ หลี่จี้ขุย เขากล้าหาญในการรบแต่ขาดความรอบรู้ ปีที่แล้ว ชิ่งไหวจูงจมูกเขาอยู่บนภูเขานานกว่าสิบวัน หลี่จี้ขุยจึงกลายเป็นตัวตลกในหมู่เจ้าหน้าที่อาวุโสของตั่งเซี่ยง ชิ่งไหวเองก็กลายเป็นบุคคลที่ชาวตั่งเซี่ยงคับแค้นมากที่สุด
เมื่อกลางวัน หลี่จี้ขุยได้ยินรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชาว่าชิงสุยกู่ปักธงที่เป็นสัญลักษณ์ของชิ่งไหวจึงสั่งให้ทหารม้าไปต่อสู้เพื่อนำธงนั่นมาทันที
ชิ่งไหวเองก็โชคร้าย ปกติเขามักจะบังคับบัญชาอยู่เบื้องหลังและไม่ได้ออกไปแนวหน้าง่าย ๆ แต่เป็นเพราะเหอหมิงชินสร้างความวุ่นวายให้กับกองทัพเถี่ยหลิน นอกจากวางรั้วลวดหนามแล้ว เขาจึงไปที่ลุ่มแม่น้ำด้วยไม่คาดคิดว่าตนจะถูกโจมตีโดยทหารม้าจากตั่งเซี่ยง
ในเวลานั้น นอกจากทหารรอบตัวชิ่งไหวกว่าสิบนายก็มีทหารอื่นอีกหนึ่งกองร้อย โชคดีที่มีรั้วลวดหนามวางไว้บริเวณลุ่มแม่น้ำล่วงหน้า และโชคดีที่ชาวตั่งเซี่ยงส่วนใหญ่โดดเด่นเรื่องการใช้กำลังแต่ติดลบในเรื่องการใช้ปัญญา ดังนั้น แม้จะเห็นรั้วลวดหนามที่ลุ่มแม่น้ำ พวกเขาก็ไม่คิดที่จะถอยกลับและติดกับดักเข้าอย่างจัง
ไม่เช่นนั้น ชิ่งไหวคงไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสแค่นี้แน่
สิ่งที่ไม่รู้จักนั้นน่ากลัวที่สุด นี่เป็นครั้งแรกที่รั้วลวดหนามปรากฏขึ้นในสนามรบบนโลกนี้ เมื่อหลี่จี้ขุยเห็นม้าที่แข็งแกร่งถูกลวดหนามรัดไว้แน่นโดยที่เลือดสีแดงไหลไม่หยุด อีกทั้งม้าศึกเองก็ไม่สามารถหลุดจากหนามแหลม เขาจึงสั่งให้ทหารถอยทัพกลับมาตั้งหลัก
หลังจากกลับมาถึงรู้จากเชลยศึกว่า รั้วลวดหนามมีไม่มากนักและยังไม่สามารถนำกลับมาใช้การได้อีกเร็ว ๆ นี้
หากไม่ใช่เพราะฟ้าใกล้จะมืด และทหารม้าก็ไม่เชี่ยวชาญการต่อสู้ในเวลากลางคืน เขาคงอยากจะต่อสู้กับกองทัพเถี่ยหลินอีกครั้ง
ดังนั้น เมื่อนายทหารชั้นสูงมาขอคำแนะนำและเข้าร่วมการต่อสู้ หลี่จี้ขุยจึงตกลงที่จะดำเนินการโจมตีชิงสุยกู่ในวันพรุ่งนี้ทันที
ด้านจินเฟิง เขาได้เดินไปรอบ ๆ เนินเขาหลายครั้ง โดยขอให้ทหารรักษาการณ์ทำเครื่องหมายแต่ละจุดไว้บนพื้น
“สวีเซียว นำทหารมาสองร้อยนาย สั่งให้พวกเขาเอาขวานมาโค่นต้นไม้ซะ”
จินเฟิงหันกลับมาแล้วพูดต่อ “ส่วนอีกห้าร้อยนายให้ไปที่ป่าไผ่ ก่อนฟ้าจะมืด ให้พวกเขาตัดต้นไผ่หนึ่งพันต้นแล้วส่งไปยังค่ายหลัก!”
บนยอดเขานี้มีป่าสนขนาดใหญ่สามารถตัดมาทำเครื่องเหวี่ยงหินได้
ไกลออกไปมีป่าไผ่ขนาดใหญ่ ไม่รู้ว่าต้นไม้ต้นนั้นอายุกี่ปี แต่ละต้นหนาเกือบเท่าปากชาม จินเฟิงก็วางแผนจะโค่นพวกมันด้วย
“รับทราบ!”
แม้สวีเซียวจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดผู้รักษาการณ์คนใหม่จึงทำเช่นนี้ แต่เขาก็ยังคงเชื่อฟังคำสั่ง
นี่เป็นคำสั่งแรกที่จินเฟิงมอบให้เขา เพื่อแสดงความกระตือรือร้น สวีเซียวจึงลงจากภูเขาเพื่อเตรียมการ


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์