บทที่ 64 เป็นไปตามคาด
“เกิดอะไรขึ้น?”
จินเฟิงขมวดคิ้วและมองไปที่สวีเซียว
“เมื่อครู่ตอนที่ข้าลงเขาไป ข้าเดินผ่านกระโจมใหญ่และได้ยินหมอทหารบอกว่าท่านโหวกระอักเลือดออกมา ร่างกายของเขาร้อนผ่าว ทั้งยังหายใจรัวเร็ว…”
สวีเซียวดูกังวลและพูดต่อ “หมอทหารบอกว่าอาการของท่านโหวไม่ค่อยดีนัก”
ชิ่งไหวเป็นเสาหลักของกองทัพเถี่ยหลิน หากเขาล้มลง ขวัญและกำลังใจของกองทัพเถี่ยหลินจะหมดไป
จินเฟิงสั่งให้นายทหารชั้นประทวนขึ้นภูเขาไปตัดต้นไม้ ส่วนตัวเขา จงอู่ และสวีเซียวต่างก็รีบลงจากภูเขาโดยเร็วที่สุด
ทหารกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันอยู่นอกกระโจมของกองทัพ เมื่อพวกเขาเห็นจินเฟิงใกล้เข้ามาก็รีบเปิดทางให้ทันที
ตอนนี้มีหมอทหารที่กำลังรักษาบาดแผลของชิ่งไหว และชายชราคนหนึ่งที่จินเฟิงไม่รู้ว่าเป็นใครยืนอยู่ข้าง ๆ เตียง
เนื่องจากความสัมพันธ์อันดีที่บัณฑิตหนุ่มมีต่อชิ่งไหว ผู้คนในกองทัพเถี่ยหลินจึงให้ความเคารพจินเฟิงเป็นอย่างมาก ไม่มีใครกล้าเรียกเขาด้วยชื่อจริง
แต่ชายชราคนนี้ไม่รู้ว่ามาจากไหน ทันทีที่เขาเห็นจินเฟิง ก็หรี่ตาลงแล้วเอ่ย “เจ้าคือจินเฟิงงั้นหรือ?”
หลักการปฏิบัติตนของบัณฑิตหนุ่มคือ หากคนอื่นเคารพเขา เขาก็ให้ความเคารพกลับ
ยกตัวอย่างเช่นชิ่งไหวที่ไม่เคยวางท่าต่อจินเฟิง จินเฟิงจึงยินดีเดินทางมายังสานเป่ยกับเขา พร้อมต่อสู้กับทหารม้าของชาวตั่งเซี่ยงด้วยกำลังที่มีทั้งหมด
แต่ชายชราผู้นี้เหมือนจะมีความเย่อหยิ่ง น้ำเสียงของเขาแข็งกร้าวมาก ท่าทีของอีกฝ่ายทำให้จินเฟิงไม่พอใจ ชายหนุ่มจึงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำถามของชายชราและเดินตรงไปยังข้างเตียงท่านโหวหนุ่ม
การโดนเมินเฉยเฉย นับว่าเป็นสิ่งที่ร้ายแรงอย่างยิ่ง ชายชราทำงานร่วมกับแม่ทัพฟ่านมาหลายปีแล้ว ไม่ว่าเขาจะไปที่ใด ทุกคนก็ยกย่องไม่ใช่หรือ?
ทว่าวันนี้กลับถูกบุคคลที่ไม่รู้จักเพิกเฉย เขาโกรธมากจนหายใจแรงและจ้องมองไปที่จินเฟิงพร้อมพูดขึ้นเสียงดัง “จินเฟิง ข้ากำลังพูดกับเจ้า!”
คนโดนเรียกชื่อยังไม่หันไปมองเขา แต่หันไปหาหลิวฉยงที่ยืนอยู่ข้างเตียงชิ่งไหวและถามว่า “ชายชราผู้นี้เป็นใคร?”
“เรียนท่านแม่ทัพ คนผู้นี้คือผู้ใต้บังคับบัญชาของแม่ทัพฟ่าน นามว่าจ้าวเยว่หรือผู้เฒ่าจ้าว” หลิวฉยงตอบ
“ที่แท้ก็เป็นคนใกล้ชิดกับแม่ทัพฟ่าน”
บัณฑิตหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นหันไปมองชายชรา
ผู้เฒ่าจ้าวสูดหายใจเข้าลึก ๆ และเชิดหน้าขึ้น เขากำลังคิดว่าตอนที่จินเฟิงเข้ามาทำความเคารพจะให้บทเรียนแก่อีกฝ่ายอย่างไรดี
แต่หลังจากเชิดหน้าขึ้นรอเป็นเวลานาน จินเฟิงก็ไม่ได้มาคำนับอย่างที่คาด
เมื่อหันกลับไป เขาก็ได้เห็นว่าอีกฝ่ายเดินไปข้างเตียงชิ่งไหวแล้ว ไม่ได้ตั้งใจจะเข้ามาทักทายตนแม้แต่น้อย
“จินเฟิง แม่ทัพฟ่านขอให้ข้ามา…”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ ชายหนุ่มก็หันหน้าไปและเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “หากเจ้ามีเรื่องอะไร ไว้รอข้าเยี่ยมท่านโหวเสร็จแล้วค่อยว่ากัน!”
คำพูดที่เหลือของชายชราถูกกลืนลงไปทันที เขาสะบัดแขนเสื้ออย่างแรงแล้วออกไปยืนรอด้านข้าง
จินเฟิงหันกลับไปและเห็นหมอทหารหยิบผ้าฝ้ายออกมาจากถังเพื่อทำความสะอาดบาดแผลของท่านโหวหนุ่ม
ไม่แปลกใจเลยที่ชิ่งไหวจะมีไข้
น้ำในถังตักมาจากแม่น้ำและไม่ได้เปลี่ยนเลยเป็นเวลาหลายวัน ไม่รู้ว่ามีแบคทีเรียเติบโตอยู่ในนั้นกี่ตัวแล้ว
ใช้น้ำประเภทนี้ล้างแผล ชิ่งไหวจะติดเชื้อและมีไข้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจมากนัก
“ห้ามนำน้ำเหล่านี้ล้างทำความสะอาดบาดแผลของท่านโหวเป็นอันขาด”
เมื่อเห็นว่าหมอทหารกำลังจะนำผ้าฝ้ายประคบลงบนบาดแผลของชิ่งไหว จินเฟิงก็รีบหยุดไว้ทันที
“ท่านแม่ทัพ หากไม่ใช้น้ำล้างจะใช้สิ่งใดล้างหรือ?” หมอทหารถามด้วยความสงสัย
“ในน้ำมีแมลงเล็ก ๆ ที่เรามองไม่เห็น หากใช้น้ำเหล่านี้ล้างแผลอาจมีแมลงปนเปื้อนในร่างกายของท่านโหว ทำให้แผลอักเสบ แดง บวม และมีหนอง จากนี้ใช้เหล้าขาวล้างแผลแทน มันสามารถฆ่าแมลงเหล่านี้ได้ โดยเฉพาะเหล้าขาวที่มีฤทธิ์แรง ๆ ยิ่งแรงยิ่งดี”
จินเฟิงไม่สามารถอธิบายเรื่องของแบคทีเรีย ไวรัส และแอลกอฮอล์ให้หมอทหารฟังได้ ชายหนุ่มอธิบายได้เพียงเท่านี้
“ล้อเล่นหรือ!? ตั้งแต่ข้าเกิดมา ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องแมลงที่มองไม่เห็นในน้ำเลย”
ผู้เฒ่าจ้าวเยาะเย้ยและเอ่ย “การทำความสะอาดบาดแผลด้วยเหล้าขาวเข้มข้นนั้นแสบอย่างยิ่ง ข้าคิดว่าเจ้าต้องการฆ่าชิ่งไหวมากกว่า!”
หลังจากพูดจบ ชายชราก็ตำหนิหมอทหารอย่างรุนแรง “เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ทำความสะอาดบาดแผลของชิ่งไหวด้วยเหล้าเข้มข้น มิเช่นนั้น หากชิ่งไหวเป็นอะไรไป ข้าจะรายงานเรื่องนี้แก่แม่ทัพฟ่าน!”
จินเฟิงจึงยืนขึ้นและกล่าวว่า
“อาการของท่านโหวแย่ลงเรื่อย ๆ หลิวฉยงไปเตรียมรถม้าเพื่อนำตัวท่านโหวกลับไปยังเมืองเว่ยโจว และไปหาหมอทหารที่เก่งกาจที่สุดมารักษาเขา!”
จากนั้นชายหนุ่มก็หันไปหาหมอทหาร “ตามข้ามา ต่อไปนี้เจ้าจะต้องใช้เหล้าขาวล้างแผลให้ท่านโหว นอกจากนั้นผ้าฝ้ายพันแผลก็ต้องผ่านการต้มน้ำเดือดเหมือนกับน้ำที่ใช้ต้มชา เข้าใจหรือไม่?”
“รับทราบ!”
หมอทหารโค้งคำนับและรับปากอย่างรวดเร็ว
หลังจากส่งรถม้าของชิ่งไหวและหลิวฉยงออกจากค่ายทหารแล้ว จินเฟิงก็หันกลับมา
ยามนี้ท้องฟ้าก็มืดแล้ว เหล่าทหารที่ขึ้นเขาไปตัดไผ่กลับมาพร้อมกับต้นไผ่นับพันต้น
จงอู่เป็นผู้นำทัพนายทหารกองหน้าประมาณห้าร้อยนาย แต่ละคนถือไม้ไผ่ยาวราวสองจั้ง เดินฝ่าความมืดไปยังลุ่มแม่น้ำในชิงสุยกู่
หลังจากทหารกองหน้าออกไป ทหารอีกกองหนึ่งก็เดินเลียบลุ่มแม่น้ำโดยถือพลั่ว จอบ และเครื่องมืออื่น ๆ
“พวกเขาเข้าไปที่ชิงสุ่ยกู่ทำไมเวลานี้? เป็นไปได้หรือไม่ว่าต้องการโจมตีค่ายตั่งเซี่ยงในเวลากลางคืน?”
ผู้เฒ่าจ้าวจ้องมองและเอ่ย “คนจำนวนน้อยเช่นนี้ หากชาวตั่งเซี่ยงลงมือโจมตีขึ้นมา ก็เท่ากับว่าส่งพวกเขาไปตาย!”
“ท่านโหวบอกว่า ท่านไม่สามารถแทรกแซงกิจการทางทหารได้!”
จินเฟิงมองชายชราอย่างเย็นชา “ข้าหวังว่าจะไม่มีครั้งต่อไป!”
ชายชราโกรธจนมือสั่น แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าโต้แย้ง เขาเพียงสะบัดแขนเสื้อ แล้วเดินกลับกระโจม
พลางลอบคิดในใจว่า อยากให้ชาวตั่งเซี่ยงให้บทเรียนกับชายหนุ่มผู้โง่เขลาผู้นี้สักครั้ง!
เช้าวันรุ่งขึ้น ก่อนที่ผู้เฒ่าจ้าวจะทันได้ลุกก็ได้ยินเสียงกลองดังขึ้นจากด้านนอก
ใบหน้าของชายชราซีดลงทันที
“ชาวตั่งเซี่ยงนำทัพกลับมาอีกแล้วหรือ?!”

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์