บทที่ 72 แผนการร้าย
“แม่ทัพจางนำกองทัพเต๋อหนิงมาที่นี่ น่าจะเหนื่อยจากการเดินทาง เรื่องกองทหารรักษาการณ์ข้าคงมิอาจมอบหมายให้สหายแห่งกองทัพเต๋อหนิงรับผิดชอบ สหายจางเพียงแค่ปฏิบัติตามคำสั่งของแม่ทัพใหญ่ในการดูแลเชลยศึกก็เพียงพอแล้ว”
จินเฟิงพูดโกหกได้หน้าตาย
จางฉีเวยเข้าใจตั้งแต่แรกแล้ว ตอนนี้กองทัพเถี่ยหลินมีข้อได้เปรียบ จินเฟิงย่อมไม่ยอมมอบหมายหน้าที่สำคัญให้กับกองทัพเต๋อหนิงง่าย ๆ
เหตุผลที่พูดไปเช่นนั้นเพราะได้ยินมาว่าแม่ทัพผู้นี้มาจากชนบท เขาจึงพยายามใช้โอกาสนี้เอาตัวเองเข้าไปแทรกแซง เผื่อว่าวันหนึ่งสมองจินเฟิงจะเลอะเลือนและแบ่งความดีความชอบมาให้เขาบ้าง?
น่าเสียดายที่จินเฟิงไม่ได้หลอกง่าย และอ้างถึงแม่ทัพฟ่านทันทีที่จางฉีเวยเปิดปาก
“ฮ่า ๆ ขอบคุณท่านอาจารย์จิน ข้าเคารพการตัดสินใจของท่าน”
จางฉีเวยหัวเราะเสียงดังแล้วถาม “ข้าสงสัยว่าเชลยศึกตั่งเซี่ยงถูกคุมขังอยู่ที่ใดหรือ”
“สวีเซียว พาแม่ทัพจางไปที่ค่ายเชลยศึก”
จินเฟิงไม่คุ้นเคยกับการส่งมอบการดูแลในค่ายทหาร เขาจึงมอบหมายเรื่องนี้ให้กับรองผู้บัญชาการอย่างสวีเซียว
“รับทราบ!”
สวีเซียวตอบรับและพาจางฉีเวยไปที่ค่ายเชลยศึก
จินเฟิงหันหลังแล้วเดินไปทางเนินเขาทางซ้าย
“ท่านอาจารย์จิน เจ้าจะไปทำอะไรที่นั่น?”
ชายชราจ้าวถามอย่างสงสัย
หลังการต่อสู้ในตอนเช้า ทัศนคติของเขาที่มีต่อจินเฟิงก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เขาชื่นชมจินเฟิงจากก้นบึ้งของหัวใจ และไม่ได้เรียกอีกฝ่ายว่าเด็กหนุ่มอีกต่อไป แต่เรียกว่า ‘ท่านอาจารย์’ แทน
ตอนที่จินเฟิงอยู่บนที่ราบเชิงเขา ณ เวลานั้น เขาเห็นชายชราดึงดาบของผู้ติดตามออกมา ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเข้าร่วมการต่อสู้โดยไม่คิดหน้าคิดหลัง ทัศนคติของจินเฟิงที่มีต่อชายชราผู้นี้ก็เปลี่ยนไปแล้วเช่นเดียวกัน
แม้ชายชราผู้นี้จะมีความเย่อหยิ่งแต่เขาก็ช่วยเหลืออย่างจริงใจ พยายามที่จะช่วยกองทัพเถี่ยหลินเพื่อปกป้องชิงสุยกู่
แม้ว่าทหารม้าของตั่งเซี่ยงจะมา เขาก็ไม่ย่อท้อเมื่อเผชิญหน้าและเลือกที่จะต่อสู้สุดชีวิต
การที่ในครอบครัวมีผู้สูงอายุก็เหมือนกับการมีสมบัติล้ำค่า สถานการณ์ต่าง ๆ ในสนามรบกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จินเฟิงไม่ค่อยเก่งเรื่องการจัดทัพ แต่ผู้เฒ่าจ้าวต่อสู้เคียงข้างแม่ทัพฟ่านมาครึ่งชีวิต ดังนั้นชายชราน่าจะเห็นอะไรมามาก
การมีบุคคลดังกล่าวเป็นที่ปรึกษาสามารถชดเชยข้อบกพร่องของจินเฟิงได้ หากชายชราแนะนำอะไร จินเฟิงก็พร้อมที่จะปฏิบัติตาม
เขายิ้มและตอบ “ผู้เฒ่าจ้าว ข้าจะสร้างป้อมปราการบนภูเขา ท่านเห็นว่าอย่างไร”
“กระบวนทัพสี่เหลี่ยมและหลุมลึกสามารถยับยั้งทหารม้าได้ เหตุใดเจ้ายังต้องการสร้างป้อมปราการบนภูเขาอีกเล่า?”
ชายชราจ้าวถามด้วยความสงสัย
“การเตรียมตัวไว้แต่เนิ่น ๆ พัฒนาตนเองอย่างไม่หยุดยั้งมักจะคุ้มค่าเสมอ”
ในความเห็นของผู้เฒ่าจ้าว ทั้งสองวิธีนี้เพียงพอที่จะจัดการกับทหารม้าแล้ว ทว่าจินเฟิงรู้ดีว่ากระบวนทัพแฟแลงซ์มาซิโดเนียและกับดักที่ใช้สกัดกั้นทัพม้านั้นอาจใช้ไม่ได้ผลเสมอไป
หากเขาเป็นหลี่จี้ขุย อย่างน้อยคงจะต้องคิดหาวิธีการมากมายมาทำลายกับดักเหล่านี้
ส่วนลวดหนามไม่ต้องพูดถึงเลย
แรงบันดาลใจของจินเฟิงในการสร้างรั้วลวดหนามเพื่อต่อสู้กับทหารม้ามาจากความต้องการที่จะทำให้ทัพทหารม้าสะดุดเพียงเท่านั้น แต่แน่นอนว่าลวดหนามเองก็มีข้อจำกัดมากมาย กองทัพในหน้าประวัติศาสตร์มากมายจึงเลิกใช้กลวิธีนี้อย่างรวดเร็ว
แต่พลังของเครื่องเหวี่ยงหินได้รับการทดสอบตามประวัติศาสตร์แล้ว
ในยุคอาวุธเย็น เครื่องยิงหรือเหวี่ยงหินถือเป็นอาวุธที่ขาดไม่ได้ในสนามรบ จนกระทั่งถึงราชวงศ์ซ่งจึงค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยหน้าไม้หลายแบบ เพราะความเร็วในการยิงและระยะการโจมตีที่แม่นยำขึ้น
แม้ครั้งนี้จินเฟิงจะได้รับชัยชนะครั้งใหญ่และชาวตั่งเซี่ยงยังคงไม่สามารถหาวิธีจัดการกับหลุมดักม้าและแฟแลงซ์มาซิโดเนียได้ในเร็ว ๆ นี้ แต่เพื่อความปลอดภัย จินเฟิงจึงตัดสินใจทำเครื่องเหวี่ยงหิน
มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้เขารู้สึกมั่นใจขึ้นมาจริง ๆ
“จริงของเจ้า”
ผู้เฒ่าจ้าวพยักหน้า เมื่อเห็นว่าจินเฟิงไม่ต้องการพูดสิ่งใดเพิ่มเติม คนมีเหตุผลอย่างเขาจึงไม่ถามคำถามใดอีก
กุนซือกล่าวว่า “ต้าคังเป็นที่รู้จักในฐานะดินแดนแห่งความนอบน้อมและความเมตตากรุณา ความยุติธรรม และจริยธรรม มีความเป็นไปได้มากที่กองทัพเถี่ยหลินจะไม่โจมตีทาสชาวฮั่น ในกรณีนี้เราสามารถใช้ทาสชาวฮั่นแก้ไขกับดักได้ ส่วนคนของเรา ก็ให้พวกเขาซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางทาสชาวฮั่นเหล่านั้น แล้วแฝงตัวเข้าไปในกองทัพเถี่ยหลิน”
“จะเกิดอะไรขึ้นหากกองทัพเถี่ยหลินสังหารทาสชาวฮั่น?”
นายทหารชั้นสูงคนหนึ่งกล่าว “สนามรบไม่ใช่สถานที่สำหรับความเมตตากรุณา ความยุติธรรม หรือศีลธรรมอะไรทั้งนั้น”
“ปีที่แล้วเราชิงตัวทาสชาวฮั่นมามากมาย หากกองทัพเถี่ยหลินต้องการฆ่าพวกเขา ก็ปล่อยให้พวกเขาฆ่าไป อย่างแย่ที่สุด ครั้งหน้าเราก็แค่จับพวกเขามาเป็นทาสใหม่”
ทหารผู้ช่วยกล่าว “มีการสู้รบกันอย่างดุเดือดในท้องพระโรงต้าคัง ชิ่งกั๋วกงบิดาของชิ่งไหวมีศัตรูทางการเมืองมากมายที่นั่น หากกองทัพเถี่ยหลินสังหารทาสชาวฮั่น พวกเขาจะถูกโจมตีโดยศัตรูทางการเมืองของชิ่งกั๋วกงอย่างแน่นอน บางทีเราอาจชนะโดยไม่จำเป็นต้องดำเนินการใด ๆ และฮ่องเต้แห่งต้าคังจะจัดการกับกองทัพเถี่ยหลินด้วยพระองค์เอง”
“นี่เป็นแผนที่ดี”
หลี่จี้ขุยยกนิ้วสรรเสริญแล้วเอ่ย “อาซั่ว มุ่งหน้าไปยังเมืองที่ใกล้ที่สุดและนำทาสชาวฮั่นทั้งหมดเข้ามาในเมืองโดยด่วน”
“รับทราบ!”
นายทหารชั้นสูงนายหนึ่งรับคำสั่งและออกไปทันที
นับตั้งแต่เที่ยง ทาสชาวฮั่นก็ถูกส่งมาอย่างต่อเนื่อง
มันกินเวลานานถึงสามวัน และได้หยุดลงเมื่อจำนวนทาสชาวฮั่นมีมากกว่าสองพันคน
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าหลายคนใฝ่ฝันที่จะกลับไปยังจงหยวน วันนี้ข้าจะมอบโอกาสให้แก่พวกเจ้า”
หลี่จี้ขุยยืนอยู่บนแท่นสูงและส่งสัญญาณให้ทหารตั่งเซี่ยงเปิดเส้นทาง “พวกเจ้าไปได้แล้ว ไปตามถนนสายนี้มุ่งหน้าสู่ทางใต้สิบลี้และเข้าไปยังชิงสุยกู่ หลังจากผ่านชิงสุยกู่แล้ว พวกเจ้าก็สามารถกลับบ้านได้”
ไม่มีทาสชาวฮั่นคนใดขยับเลย ทุกคนต่างมองกันไปมา และไม่เชื่อว่าสิ่งดี ๆ จะเกิดขึ้นได้
“คนบ้าพวกนี้! ปกติพวกเจ้ามักก่อความวุ่นวายและเรียกร้องเพราะอยากกลับจงหยวน พอตอนนี้ข้าบอกให้พวกเจ้ากลับไป เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่ขยับ!”
หลี่จี้ขุยตะโกนด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ “ไล่ต้อนพวกเขาออกไปให้หมด!”
ทหารตั่งเซี่ยงโบกแส้ทันที พวกเขาขับไล่ทาสชาวฮั่นออกจากค่ายทหารให้มุ่งหน้าไปยังชิงสุยกู่

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์