เข้าสู่ระบบผ่าน

ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์ นิยาย บท 73

บทที่ 73 ข่าวคราวแห่งชัยนะ

ประตูเมืองทางทิศตะวันตกของเปี้ยนจิง

กองทหารม้าควบม้าไปทางประตูเมืองพร้อมกับควันที่ตลบลอยขึ้นเป็นระลอกคลื่น

ทหารที่รับหน้าที่เฝ้าประตูเมืองขับไล่ฝูงชนออกไปทันที เตรียมที่จะปิดประตูราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าเกรงขาม

ทหารบนกำแพงเมืองทยอยชักธนูและลูกธนูออกมา พร้อมที่จะโจมตีทุกเมื่อ

“วางคันธนูลง เจ้าไม่เห็นหรือว่าพวกเขามีขนนกสีแดงบนหัว พวกเขาคือทูตด่วนหงหลิงแห่งกองทัพเจินซี!”

นายกองอาวุโสนายหนึ่งตะโกนด้วยอารมณ์รุนแรง “เร็วเข้า รีบปล่อยให้พวกเขาผ่านไป!”

ในขณะนั้นเองทหารเฝ้าประตูเมืองก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ด้านหน้ามีธงแห่งกองทัพเจินซีปรากฏขึ้นท่ามกลางฝุ่นควันที่ตลบเหล่านั้น

การที่ทูตด่วนหงหลิงปรากฏตัว นั่นหมายถึงสถานการณ์ทางทหารที่เร่งด่วนที่สุด ใครก็ตามที่ขวางทางจะถูกตัดศีรษะ

พวกทหารจึงขับไล่ผู้คนที่อยู่ใกล้ประตูเมืองออกจากริมฝั่งถนนเพื่อหลีกทางให้ทันที

“ไม่รู้ว่ามีเหตุฉุกเฉินใด?”

“ทูตด่วนหงหลิงแห่งกองทัพเจินซี แน่นอนว่าเป็นข่าวจากทางตะวันตก”

“หรือว่าชาวตั่งเซี่ยงจะทำการเปิดศึกอีกแล้ว ปีนี้ภาษีจะขึ้นอีกเท่าไรไม่รู้”

“พวกชาวตั่งเซี่ยงนี่แย่จริง ๆ พวกเขารับส่วยประจำปีจากตระกูลร่ำรวยของเราทุกปี แต่ก็ยังมาโจมตีเราไม่ว่างเว้น เช่นนี้มันไม่มากเกินไปหรือ”

“คงจะดีมาก หากกองทัพเจินซีสามารถหยุดชาวตั่งเซี่ยงได้ เช่นนั้น พวกเราจะได้ไม่ต้องแสดงความเคารพต่อชาวตั่งเซี่ยง”

“ข้าได้ยินมาว่าแม่ทัพฟ่านไปดูแลกองทัพเจินซี เขาอาจจะเอาชนะชาวตั่งเซี่ยงได้”

“เจ้าเลิกเพ้อเจ้อได้แล้ว!”

เมื่อผู้คนที่ยืนอยู่ริมสองข้างทางได้ยินว่าหงหลิงกำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวง พวกเขาก็ถอนหายใจและมีสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทุกครั้งที่ทูตด่วนหงหลิงมาที่เมืองหลวง พวกเขามักจะมาเพื่อขอความช่วยเหลือเสมอ

แล้วภาษีก็จะเพิ่มขึ้นในปีต่อไป

ทูตด่วนหงหลิงรับรู้ได้ว่าราษฎรในเมืองหลวงไม่ค่อยชอบพวกเขานัก พวกเขาจึงพยายามเก็บตัวไม่ให้เป็นที่สนใจทุกครั้งที่เข้าไปในเมือง

แต่คราวนี้มันแตกต่างออกไป

ห่างจากประตูเมืองครึ่งลี้ ทูตด่วนหงหลิงต่างก็ส่งเสียงตะโกนพร้อมกัน

“กองทัพเจินซีขอทำการประกาศอย่างเร่งด่วนว่า เราได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ในหุบเขาชิงสุยกู่ กองทัพเถี่ยหลินได้สังหารทหารม้าของศัตรูนับพันและจับกุมเชลยศึกได้อีกนับพัน!”

ผลการต่อสู้ที่ฟังดูเกินจริงไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มขวัญกำลังใจ แต่ยังทำให้ผู้คนพอใจเป็นอย่างมากอีกด้วย อีกทั้งกองทัพที่ทำความดีความชอบก็จะได้รับการปูนบําเหน็จ

เมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้น ล้วนสร้างความน่ายินดีตามมาในทุก ๆ ด้าน

แม่ทัพฟ่านเชื่อว่า แม้กรมกลาโหมจะรู้ความจริงแต่ก็จะไม่เปิดเผย เขาจึงรายงานเท็จโดยเพิ่มจำนวนคนหลายร้อยคนเพื่อสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง

นี่ถือว่าเป็นประเพณีทางทหาร

“สวรรค์! ข้าได้ยินไม่ผิดใช่หรือไม่? กองทัพเจินซีประกาศว่าชนะการต่อสู้งั้นหรือ?”

“ใครจะรู้ นี่อาจจะเป็นการกล่าวเท็จเพื่อสร้างคุณงามความดีให้ตนเองก็ได้”

“เจ้าไม่ได้ยินหรือว่าเป็นกองทัพเถี่ยหลินของชิ่งโหวที่ชนะการต่อสู้? ชิ่งโหวเคยอ้างคุณงามความดีอันเป็นเท็จด้วยหรือ?”

“ดูเหมือนว่าเราจะชนะการต่อสู้จริง ๆ!”

“กองทัพเถี่ยหลินแข็งแกร่งมาก!”

“คงจะดีมากหากกองทัพเถี่ยหลินสามารถกันชาวตั่งเซี่ยงออกไปได้ บางทีในปีนี้เราอาจไม่ต้องส่งบรรณาการให้ตั่งเซี่ยงแล้วก็ได้”

มีกองกำลังของต้าคังไม่กี่กองทัพที่สามารถต่อสู้กับตั่งเซี่ยงได้ ดังนั้นกองทัพเถี่ยหลินจึงเป็นที่น่าเคารพนับถือในหมู่ประชาชน

“กองทัพเจินซีขอทำการประกาศอย่างเร่งด่วนว่า เราได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ในหุบเขาชิงสุยกู่ กองทัพเถี่ยหลินได้ทำการสังหารทหารม้าของศัตรูนับพันและจับกุมเชลยศึกได้อีกนับพัน!”

ทูตด่วนหงหลิงตะโกนข่าวน่ายินดีและรีบผ่านประตูเมือง มุ่งหน้าตรงไปยังเขตพระราชฐาน

ต้าคังเผชิญกับความพ่ายแพ้มานานเกินไป เมื่อได้รับชัยชนะมาจึงทำให้ประชาชนเกิดความรู้สึกตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก

เมื่อทูตด่วนหงหลิงผ่านที่แห่งใดไป ก็จะมีคลื่นแห่งความยินดีขนาบอยู่สองข้างทาง

เมื่อได้ยินเสียงผู้คนโห่ร้อง ก็จะมีคนวิ่งออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นและเริ่มยินดีตาม ๆ กัน จากนั้นก็จะมีคนใหม่ ๆ เข้ามาร่วมส่งเสียงเรื่อย ๆ

ในพระราชวัง ฮ่องเต้เฉินจี๋แห่งต้าคัง ทรงถือพู่กันไว้ในพระหัตถ์ขวา ยืนอยู่หน้าโต๊ะพร้อมกับขมวดคิ้ว

สตรีผู้งดงามนางหนึ่งในชุดกงจวง*[1] โบกมือให้นางกำนัลออกไป จากนั้นนางก็เผยรอยยิ้มและโผเข้าหาอ้อมแขนของเฉินจี๋

ตั้งแต่เข้ามาเขาก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้เฉินจี๋และหลิวกุ้ยเฟย

“ฝ่าบาท หม่อมฉันขอทูลลา”

ตามประเพณีนิยม นางสนมไม่ได้รับอนุญาตให้มีส่วนร่วมกับเรื่องทางการเมือง หลิวกุ้ยเฟยหยุดรบกวนเฉินจี๋อย่างรู้ความ จากนั้นนางก็ลุกขึ้นยืน จัดระเบียบเสื้อผ้า และเตรียมตัวออกไป

อย่างไรก็ตาม เฉินจี๋ชี้ไปที่เก้าอี้ด้านข้างอย่างไม่ใส่ใจ “ที่นี่ไม่ใช่ห้องหารือหงเต๋อเตี้ยนที่ใช้ถกเรื่องราวสำคัญ และไม่มีข้าราชบริพาร สนมรักของข้าไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงอะไรทั้งนั้น”

“เพคะ”

หลิวกุ้ยเฟยคุกเข่าลงและนั่งบนเบาะด้านข้างอย่างเชื่อฟัง

ไม่นานหัวหน้าขันทีก็เข้ามารายงานทางทหาร

“ข้าอยากรู้ว่าฟ่านเหวินเยวียนผู้นี้วางแผนจะหลอกลวงข้าอย่างไร”

หลังจากตรวจสอบครั่งประทับและตราประทับของแม่ทัพกองทัพเจินซีแล้ว เฉินจี๋ก็พึมพำและเปิดซองจดหมาย

รายงานทางการทหารเขียนโดยแม่ทัพฟ่าน เนื้อความค่อนข้างที่จะกระชับ ชัดเจน ไม่มีการปรุงแต่งมากเกินไป

ลึก ๆ ในใจ ฮ่องเต้เฉินจี๋ไม่เชื่อว่ากองทัพเถี่ยหลินจะสามารถเอาชนะทหารม้าตั่งเซี่ยงได้ ดังนั้นในตอนแรกเขาจึงไม่ใส่ใจจดหมายมากเกินไปนัก

แต่เมื่อเห็นเนื้อความกลางหน้ากระดาษ เฉินจี๋ก็อดไม่ได้ที่จะนั่งตัวตรง สีหน้าของเขาเคร่งขรึม

วิธีการของจินเฟิงนั้นง่ายมาก หลังจากที่เฉินจี๋คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ครู่หนึ่ง เขาก็เชื่อว่ากับดักกีดขวางม้าและกระบวนทัพรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสนั้น ย่อมสามารถยับยั้งทหารม้าตั่งเซี่ยงได้อย่างแน่นอน

เมื่อรู้ว่าจินเฟิงใช้กับดักกีดขวางม้าและใช้กระบวนทัพแฟแลงซ์มาซิโดเนียในการทำลายกองพันทหารม้าแนวหน้าของตั่งเซี่ยง จากนั้นก็ล้อมกองทหารม้าที่เหลือกว่าพันนายไว้จนไม่สามารถขยับได้ ฮ่องเต้เฉินจี๋ก็อดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่น

“ดี! จินเฟิงผู้นี้ช่างยอดเยี่ยม! เขาสร้างกระบวนทัพได้ดีเยี่ยมจริง ๆ!”

“ให้หงหลิงรีบไปที่หงเต๋อเตี้ยน ข้าอยากเห็นพวกเขาด้วยตาตนเอง”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

ขันทีจากไปด้วยความกระตือรือร้นทันที

“ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมจริง ๆ”

เฉินจี๋เดินไปรอบ ๆ พระราชวังอย่างร่าเริง

[1] กงจวง (宫装) : รูปแบบชุดของสตรีฝ่ายใน

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์