เข้าสู่ระบบผ่าน

ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์ นิยาย บท 74

บทที่ 74 คลื่นใต้น้ำ

“ฝ่าบาท เรื่องอะไรที่ทำให้พระองค์ทรงสำราญพระทัยเช่นนี้หรือ?”

หลิวกุ้ยเฟยมองไปรอบ ๆ แล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย

“สนมรัก ชิ่งไหวได้พบผู้เชี่ยวชาญในจินชวน และสร้างกระบวนทัพใหญ่เพื่อโจมตีกองทหารม้า”

เฉินจี๋สะบัดแขนเสื้ออย่างมีความสุขและเอ่ย “หากเรามีกระบวนทัพเช่นนี้ เราก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป!”

“หม่อมฉันขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท!”

หลิวกุ้ยเฟยรีบคุกเข่าลงบนพื้นเพื่อกล่าวแสดงความยินดี

“ฮ่าฮ่าฮ่า นางสนมรักของข้า เจ้าช่างเป็นดาวนำโชคเสียจริง ทันทีที่เจ้ามาที่นี่ ข้าก็ได้รับข่าวดีอย่างรวดเร็ว”

เฉินจี๋จับปลายคางของหลิวกุ้ยเฟยอย่างมีความสุขแล้วกล่าว “เตรียมตำหนักเต๋ออี๋ไว้ให้พร้อม คืนนี้ข้าจะไปที่นั่น”

“เพคะฝ่าบาท!”

หลิวกุ้ยเฟยคำนับอย่างตื่นเต้นและปฏิบัติตามคำสั่งของฮ่องเต้

ปีนี้เฉินจี๋ไม่ค่อยได้ออกจากห้องบรรทม หากเขาต้องการเรียกนางสนมมาปรนนิบัติ เขาก็มักจะเรียกพวกนางให้มาที่ห้องบรรทมของเขา

ครั้งนี้เขาตัดสินใจไปพักค้างคืนที่ตำหนักเต๋ออี๋ สำหรับหลิวกุ้ยเฟยแล้วถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง

“ฝ่าบาททรงมองเห็นข้าผู้ต่ำต้อย ขอพระองค์อายุยืนหมื่นปี!”

ในหงเต๋อเตี้ยน ทูตหงหลิงหลายคนคุกเข่าลงกับพื้นและตะโกนอวยพรให้ฮ่องเต้มีพระชนม์มายุยืนยาว

“ข้าถามเจ้าว่า ในขณะที่กองทัพเถี่ยหลินและทหารม้าตั่งเซี่ยงต่อสู้กัน เจ้าได้เห็นมันด้วยตาของเจ้าเองหรือไม่?”

เฉินจี๋รู้ว่าการกล่าวอ้างอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความดีความชอบทางทหารเป็นธรรมเนียมของกรมกลาโหม ดังนั้นหลังจากอ่านรายงานทางทหารแล้ว เขาจึงยังรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

“ฝ่าบาท ตำแหน่งของข้าน้อยผู้ต่ำต้อยคือมือชูธงของกองทัพเถี่ยหลิน ในระหว่างการสู้รบข้าน้อยอยู่ข้างกายแม่ทัพจิน รับผิดชอบในการออกคำสั่งและเป็นสักขีพยานในการต่อสู้ทั้งหมด”

แม่ทัพฟ่านเดาว่าเฉินจี๋จะถามเกี่ยวกับกระบวนการสู้รบ เขาจึงเรียกมือชูธงของกองทัพเถี่ยหลินติดตามกลับมาเป็นกรณีพิเศษ

“เช่นนั้น เจ้าบอกข้ามาว่ามันเกิดสิ่งใดขึ้น หากเจ้ากล้าโกหก ข้าจะฆ่าพวกเจ้าเก้าชั่วโตร!”

เฉินจี๋ถาม

“ข้าน้อยผู้ต่ำต้อยไม่กล้าหลอกลวงฝ่าบาท ข้าน้อยรับประกันว่าทุกประโยคเป็นความจริง”

มือชูธงเริ่มเล่าเรื่องการต่อสู้ในวันนั้นทันที

ในขณะเดียวกัน ข่าวชัยชนะอันยิ่งใหญ่ในชิงสุยกู่ก็เริ่มแพร่กระจายในเมืองหลวงเช่นกัน

บรรดาขุนนางที่ได้รับข่าวไม่สามารถนั่งนิ่งได้

โจวกว้าน เจ้ากรมกลาโหมรีบไปที่จวนเสนาบดีฝ่ายขวาทันที

ในขณะที่หัวหน้าสำนักเลขาธิการก็นั่งไม่ติด เขาลงจากรถม้าและขี่ม้าไปยังจวนมหาเสนาด้วยตัวเอง

มองเผิน ๆ เมืองเปี้ยนจิงเต็มไปด้วยความสงบสุข แต่เบื้องลึกกลับมีกระแสน้ำผันผวนอยู่

ณ จวนชิ่งกั๋วกง คุณชายรองอย่างชิ่งฝานรีบเข้าไปในเรือนของพี่ชายคนโตชิ่งเจิง “พี่ใหญ่ แย่แล้ว”

“เจ้ารอง ข้าบอกให้เจ้าใจเย็นกี่ครั้งกี่หนแล้ว? หากเจ้ายังคงหุนหันพลันแล่นเช่นนี้ ท่านพ่อเห็นเข้าจะต้องตำหนิเป็นแน่”

ชิ่งเจิง คุณชายใหญ่ถือกรงนกแล้วตำหนิ “เหตุใดเจ้าจึงมีท่าทีกังวลใจเช่นนี้?”

เขาคอยติดตามข่าวกองทัพเถี่ยหลิน เมื่อไม่กี่วันก่อนเขารู้สึกยินดีเป็นอย่างมากเมื่อได้ยินว่าชิ่งไหวได้รับบาดเจ็บสาหัสและยังไม่ฟื้น เขาจึงได้ไปใช้ชีวิตสำเริงสำราญที่หอวาโยวสันต์ถึงสามวันเต็ม

“พี่ใหญ่ มีรายงานด่วนจากกองทัพเจินซีว่ากองทัพเถี่ยหลินเอาชนะทหารม้าของตั่งเซี่ยงที่ชิงสุยกู่ได้ ทั้งยังสังหารศัตรูไปหลายพันคนและจับกุมเป็นเชลยได้อีกนับพัน!”

คุณชายรองเอ่ยตอบ ในขณะที่หอบหายใจอย่างหนัก

ตุบ!

กรงนกในมือของชิ่งเจิงตกลงไปที่พื้น

เขาซื้อนกคีรีบูนในกรงมาด้วยราคาห้าร้อยตำลึงเงิน โดยปกติแล้วนกคีรีบูนหายากมาก และหากมีบ่าวรับใช้คนใดมาแตะต้องจะโดนตัดมือ

ตอนนี้นกหายากกำลังตกใจมากจนกระพือปีกอยู่ในกรง แต่ชิ่งเจิงกลับทำราวกับว่ามองไม่เห็นมัน เขาคว้าคอเสื้อของชิ่งฝานพร้อมเบิกตากว้าง

“มันจะเป็นไปได้อย่างไร? ไปได้ยินข่าวมาจากที่ใด? ข่าวเท็จหรือไม่?”

“พี่ใหญ่ มันเป็นรายงานทางทหารที่ถูกส่งโดยทูตด่วนหงหลิงแห่งกองทัพเจินซี จะเป็นข่าวเท็จได้อย่างไร”

ทูตด่วนหงหลิงเป็นผู้ส่งข้อมูลเร่งด่วนทางการทหาร ทุกส่วนราชการ และศาลาพักม้า*[1] สถานที่ที่เป็นทางผ่านต้องให้ความร่วมมือกับพวกเขาอย่างเต็มที่ แม้แต่โจรที่ดักปล้นตามถนนก็ยังต้องปล่อยพวกเขาไป

แม่ทัพจอมเสเพลที่อวดอ้างความสามารถทางทหารของตนอย่างผิด ๆ ย่อมไม่กล้าใช้ทูตด่วนหงหลิง พวกเขาจะใช้ก็ต่อเมื่อต้องการขอความช่วยเหลือเท่านั้น

“แต่ชิ่งไหวได้รับบาดเจ็บสาหัสและหมดสติไปมิใช่หรือ กองทัพเถี่ยหลินจะยังชนะการต่อสู้ได้อย่างไร?”

ชิ่งเจิงยังคงไม่อยากจะเชื่อ

“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน” คุณชายรองตอบ “แต่ข้าได้ยินมาว่าทูตด่วนหงหลิงที่กลับมาจากกองทัพเถี่ยหลินจะเดินทางมาที่จวนเพื่อรายงานสถานการณ์ทางทหารให้ท่านพ่อทราบภายหลัง หากเราไปรอที่ประตูสักพัก บางทีอาจจะเจอเขาก็ได้”

“ไป!”

ชิ่งเจิงเตะกรงนก และตามคุณชายรองไปที่ประตู

ไม่นานนายทหารชั้นประทวนผู้หนึ่งที่อยู่บนหลังม้าก็ผ่านมา พี่น้องตระกูลชิ่งมองไปที่หมวกของเขาและเห็นว่ามีคำว่า ‘เถี่ยหลิน’ อยู่

ชิ่งเจิงเตะมือชูธงเข้าที่ขา

เมื่อเตะที่ขาแล้วยังไม่สาแก่ใจ เขาก็เตะเข้าที่มือของอีกฝ่ายเป็นครั้งที่สอง

มือชูธงไม่กล้าสู้กลับและรีบนั่งยอง ๆ ลงบนพื้นโดยเอามือกุมศีรษะ

“น่าอับอายขายขี้หน้ายิ่งนัก!”

ชิ่งกั๋วกงที่กำลังจะออกไปข้างนอกเห็นสองพี่น้องทุบตีมือชูธง ใบหน้าเขาบูดบึ้งด้วยความไม่พอใจ “ให้คนนำตัวพวกเขาไปที่ห้องโถงบรรพบุรุษและโบยด้วยไม้กระบองสามสิบหน!”

“ท่านพ่อ ได้โปรดไว้ชีวิตข้า!”

เมื่อชิ่งเจิงได้ยินคำสั่ง เขาก็ตกใจมากจนคุกเข่าลงกับพื้นอย่างแรง

หากถูกโบยด้วยไม้กระบองสามสิบหน แม้จะไม่ตายแต่ผิวหนังก็คงถูกลอกออกมาแล้วชั้นหนึ่ง ต่อให้ผ่านไปสามเดือน ก็อย่าคิดว่าจะไปยังหอวาโยวสันต์ไหวเลย

“หงหลิงกำลังเร่งรีบ ใครก็ตามที่ขวางทางเขาจะต้องถูกตัดศีรษะ เจ้ากล้าดีอย่างไรกระทำการทุบตีเขา การโดนไม้กระบองโบยถือว่ายังน้อยไปเสียด้วยซ้ำ!”

ชิ่งกั๋วกงเตะไหล่ของชิ่งเจิง “กลับไปคิดทบทวนตัวเองเสีย!”

จากนั้นชิ่งเจิงและชิ่งฝานก็นึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่นายทหารชั้นประทวนแห่งเถี่ยหลินธรรมดา ทว่ายังเป็นอดีตทูตด่วนหงหลิง ทั้งคู่ลืมไปเสียสนิทว่าใต้หล้านี้ไม่มีใครสามารถขัดขวางการเดินทางของทูตด่วนหงหลิงได้

ชิ่งกั๋วกงพูดถูก หากพวกเขาขัดขวางทูตด่วนหงหลิง พวกเขามีสิทธิ์ถูกตัดหัวได้

ใบหน้าของทั้งคู่ซีดเผือดด้วยความกลัว สองพี่น้องรู้สึกเหมือนนรกอยู่ใกล้แค่เอื้อม

ชิ่งกั๋วกงมองบุตรชายทั้งสองด้วยความผิดหวัง จากนั้นจึงสั่งผู้ติดตามของเขาให้ช่วยเหลือมือชูธง และถามอย่างใจเย็น “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”

“ข้าไม่เป็นอะไร ไม่เป็นอะไร”

มือชูธงรู้ดีว่าผู้มีบรรดาศักดิ์สูงส่งคงไม่มีทางมาขอโทษทหารชั้นผู้น้อยอย่างเขา

การถามไถ่ว่าเขาเป็นอย่างไร นับว่าเป็นความเอาใจใส่ที่ยิ่งใหญ่มากแล้ว

จึงรีบส่ายหัวแล้วบอกว่าไม่เป็นไร จากนั้นก็หยิบจดหมายออกมาจากใต้แขนเสื้อ

“ท่านกั๋วกง นี่คือจดหมายที่แม่ทัพฟ่านให้ข้านำมามอบให้ท่าน”

“ขอบใจ”

ชิ่งกั๋วกงพยักหน้าและรับซองจดหมายเอาไว้ “ฮูหยินมีความกังวลเกี่ยวกับเหล่าแม่ทัพและกองทัพเถี่ยหลิน ในเมื่อเจ้ากลับมาจากชิงสุยกู่แล้ว เช่นนั้น ไปเข้าพบฮูหยินและอธิบายเรื่องของเจ้าสามให้นางฟังหน่อยเถิด ผู้ดูแล เจ้าไปที่คลังเพื่อนำเงินมาสามร้อยตำลึงเงิน และส่งไปยังเรือนฮูหยินรองเพื่อปูนบําเหน็จให้นางหน่อย”

“ขอบคุณท่านกั๋วกง”

เขาเดินตามผู้ดูแลเข้าไปยังจวนชิ่งกั๋วกงเพื่อพบกับมารดาของชิ่งไหว

[1] ศาลาพักม้า (驿站) : คือ จุดจอดพักของเจ้าหน้าที่ส่งสาส์นในสมัยโบราณ

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์