ทะลุมิติ ข้าจะเป็นภรรยาขยัน นิยาย บท 42

ซือลั่วยังอยู่ในครัว เว่ยฉงซีเพิ่งย้ายมานั่งบนเก้าอี้สำเร็จ ซือลั่วก็ออกมาพอดี

พร้อมกับถือโจ๊กสองชาม และยังมีอีกหนึ่งจาน...

เว่ยฉงซีมองด้วยความสงสัย "นี่คือบะหมี่เย็นที่เจ้าพูดถึงหรือ"

ซือลั่วพยักหน้า "ลองชิมดู ข้าละลายแป้งบะหมี่ในน้ำจนเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว”

เว่ยฉงซีหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบไปชิ้นหนึ่งแล้วส่งเข้าปาก รสชาติไม่เลว แต่เขาคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ เห็นชัดว่ามันเป็นบะหมี่ที่ธรรมดามาก เหตุใดจึงทำให้มันหนึบหนับได้ถึงเพียงนี้

"เป็นอย่างไรบ้าง"

"ไม่เลว!"

ซือลั่วเม้มริมฝีปาก "เปลี่ยนเป็นประโยคอื่น!"

"พอได้!"

ซือลั่วไม่อยากคุยกับเขาอีก คนอย่างเว่ยฉงซีหากอยู่ในยุคปัจจุบันก็คงเรียกว่าเป็นผู้ชายทึ่มทื่อไม่เข้าใจความคิดผู้หญิง

เว่ยฉงซี "เจ้าทำสิ่งนี้ได้อย่างไร"

ซือลั่วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ "นี่เป็นสูตรลับที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของข้า!"

เว่ยฉงซีเค้นเสียงเย็นชา "บรรพบุรุษของซือเทียนอี้น่าจะไม่ใช่พ่อครัว!"

ซือลั่วรีบหัวเราะฮ่าฮ่า "นั่นน่ะจะต้องละลายแป้งบะหมี่ในน้ำตลอดเวลา จากนั้นก็นำไปนึ่งในเข่ง...”

เว่ยฉงซีพยักหน้า "ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!"

ซือลั่วกล่าว "จริงๆ แล้ว ยังขาดเครื่องปรุงที่สำคัญที่สุดอยู่ ถ้าไม่มีมันรู้สึกว่าทำอะไรก็ไม่ได้รสชาติที่ดี!"

“เครื่องปรุงอะไร”

"มันคือพริก หน้าตาเป็นแบบนี้"

ซือลั่วจิ้มนิ้วในน้ำแล้ววาดรูปพริกบนโต๊ะ "บางอันเป็นสีแดงแต่บางอันก็มีสีเขียว สูงประมาณนี้...”

“ที่เจ้าหมายถึงก็คือพริกที่กินแล้วมีรสเผ็ดสินะ” เว่ยฉงซีพูดขึ้นทันที

ซือลั่วตกตะลึง ดวงตาเป็นประกาย "ใช่ นั่นแหละ เจ้าเคยเห็นไหม"

เว่ยฉงซีกล่าว "ข้าเคยเห็นมันในหลานจิง บางคนปลูกมันไว้ในจวนเพื่อเอาไว้เชยชม ทำไมล่ะ มันกินได้หรือ”

เขาขมวดคิ้ว สิ่งนั้นน่าจะไม่อร่อย

ซือลั่วพยักหน้า "รสชาติไม่ใช่ธรรมดา ถ้าเจ้ากินได้เข้าไปจะต้องหลงรักรสชาตินั้นอย่างแน่นอน!"

เว่ยฉงซีหรี่ตา "พูดถึงเรื่องนั้น เจ้าก็อาศัยอยู่ในหลานจิงมาหลายปีแล้ว เจ้าไม่เคยเห็นหรือ"

ซือลั่วตกใจ จากนั้นก็หัวเราะแห้งๆ "ข้าอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ดังนั้น..."

“อ้อ เป็นเช่นนี้นี่เอง” เว่ยฉงซีกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

ซือลั่วคิดอยู่เสมอว่าวันนี้เขาทำตัวแปลกๆ อีกทั้งตนเองก็มีความรู้สึกเหมือนถูกเขามองอย่างทะลุปปรุโปร่ง

“เดี๋ยวข้าไปเทน้ำให้เจ้านะ”

"อืม"

ซือลั่ววิ่งเข้าไปในครัว

จงซิ่วหลิงเดินเข้ามาจากด้านนอก เมื่อเห็นเว่ยฉงซีอยู่คนเดียวในลานบ้านใบหน้าก็ฉายความยินดี

“พี่เว่ย น้องสาวซืออยู่หรือเปล่า” จงซิ่วหลิงถามอย่างเสแสร้ง

เว่ยฉงซีจ้องมองนาง สายตาแสดงความรังเกียจอย่างชัดเจน แต่เขาปกปิดมันได้เป็นอย่างดี

จงซิ่วหลิงรู้ว่าซือลั่วจะต้องไม่อยู่อย่างแน่นอน อันที่จริง สตรีที่ตกอยู่ในเงื้อมมือของหวังหยวนไว่ไม่มีใครสามารถหนีรอดได้แม้แต่คนเดียว

เมื่อคิดว่าสามารถกำจัดซือลั่วที่รกหูรกตาได้แล้ว ในใจของจงซิ่วหลิงก็เต็มไปด้วยความสุข

ฉะนั้นนางจึงไม่รอให้เว่ยฉงซีตอบและพูดว่า "พี่เว่ย ข้าทำซาลาเปามา ท่านคงยังไม่ได้กินข้าวล่ะสิ น้องสาวซือลั่วนี่จริงๆ เลย ไปไหนตั้งแต่เช้ามืด”

ทันใดนั้นเว่ยฉงซีก็เปิดปาก "เจ้ารู้ไหมว่านางไปที่ใด"

จงซิ่วหลิงตกใจแล้วยิ้ม "ข้าจะรู้ได้อย่างไร เมื่อวานนี้ไม่ใช่ว่านางไปพบลูกพี่ลูกน้องชายของข้ากับหวังหยวนไว่หรือ ข้าได้ยินมาว่าหวังหยวนไว่ร่ำรวยมาก!"

เว่ยฉงซีส่งเสียง "โอ้" หนึ่งคำ แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่แยแสซือลั่ว

จงซิ่วหลิงไม่ลืมที่จะทอดสะพาน “พี่เว่ย นี่คือซาลาเปาที่ข้าทำเองกับมือ ท่านลองชิมดูสิ!"

เว่ยฉงซีไม่ขยับ แต่มองไปที่จงซิ่วหลิงแทน จากนั้นจึงยิ้มให้นาง

จงซิ่วหลิงรู้สึกเพียงว่าด้านหน้ามีแสงส่องประกายและหัวใจก็เต้นแรงตึกตัก

บุรุษนี้ดูดีเกินไปอย่างแท้จริง เพียงแค่เขายิ้มก็ราวกับมีประกายดาวอยู่ในดวงตา

“ช่วยข้าตามหาซือลั่วได้ไหม หากนางไปตายอยู่ข้างนอกจะไม่มีใครดูแลข้า!” เว่ยฉงซีพูดเบาๆ

จงซิ่วหลิงพยักหน้า นี่เป็นครั้งแรกในรอบสามปีที่เว่ยฉงซีสบตาและพูดคุยกับนาง อีกทั้งดูจากท่าทีของเขา เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีความรู้สึกใดกับซือลั่วเลย

ถึงกับบอกว่าถ้าหาซือลั่วไม่พบแล้วจะไม่มีใครดูแลเขา ตลกแล้ว ไม่ใช่ว่ายังมีนางอยู่หรือไง!

จงซิ่วหลิงตื่นเต้นมากจนไม่ได้สังเกตว่าเว่ยฉงซียิ้มจริงๆ หรือแค่แสร้งยิ้ม

“ข้าจะไปถามลูกพี่ลูกน้องชายของข้าดู”

หลังจากพูดจบจงซิ่วหลิงก็ลองถามหยั่งเชิง "น้องสาวซือลั่วออกไปเมื่อไหร่หรือ"

เว่ยฉงซีคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "ไม่ได้กลับมาตั้งแต่เมื่อคืน"

หลังจากที่เขาพูดจบก็ก้มศีรษะลงและไม่พูดไม่จาอีก ดูเหมือนกับกำลังบึ้งตึง

จงซิ่วหลิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มที่ไม่สามารถปกปิดได้ในดวงตา แต่สีหน้ากลับดูกังวลเล็กน้อย "น้องสาวซือลั่วไม่กลับบ้านทั้งคืน? หรือว่านางจะอยู่กับหวังหยวนไว่ บ้านของหวังหยวนไว่ร่ำรวย น้องสาวซือลั่วจะเป็นอะไรไป ถึงอย่างไรก็ไม่ควรทิ้งขว้างไม่ดูดำดูดีพี่เว่ยสิ!" 

เว่ยฉงซีไม่ตอบ ทำให้นางเดาไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

หลังจากจงซิ่วหลิงพูดอีกหลายประโยคก็เห็นว่าเว่ยฉงซีก้มหน้าก้มตาตั้งแต่ต้นจนจบ จึงไม่รู้ว่าเขาได้ฟังสิ่งที่นางพูดหรือไม่

“พี่เว่ย เช่นนั้นข้าไปก่อนนะ” จงซิ่วหลิงถอนหายใจ หันกลับไปมองเว่ยฉงซีทุกย่างก้าว สุดท้ายจึงหันกายจากไป

หลังจากที่นางจากไปซือลั่วก็ออกมาจากห้องครัว จ้องมองหลังของจงซิ่วหลิงและหรี่ตาลงเล็กน้อย

เว่ยฉงซีคิดว่าหากเป็นซือลั่วในอดีตคงจะออกมาตบตีกับจงซิ่วหลิงไปนานแล้ว แต่ตอนนี้นางกลับอดทนได้ตลอดอย่างเกินคาด อีกทั้งท่าทางของนางก็ดูเหมือนกำลังมีความคิดร้ายอะไรบางอย่าง

เว่ยฉงซีมองนางอย่างสงบเยือกเย็น

ซือลั่วทักทายบรรพบุรุษสิบแปดชั่วโคตรของจงซิ่วหลิงในใจ นางยากที่จะจินตนาการได้ว่าสตรีในชนบทที่อยู่ในตำบลเล็กๆ จะมีจิตใจที่ชั่วร้ายจนกล้าที่จะวางแผนกับนางได้ถึงเพียงนี้

ซือลั่วเป็นคนที่มีบุญต้องทดแทนมีแค้นต้องชำระ นางไม่มีทางปล่อยจงซิ่วหลิงไปง่ายๆ

พอหันศีรษะกลับไปก็สบเข้ากับสายตาที่ไม่ชัดเจนของเว่ยฉงซี

“ทำไมเจ้ามองข้าเช่นนี้” ซือลั่วถาม

เว่ยฉงซีเลิกคิ้ว "เจ้าวางแผนจะทำอะไร หรือว่าจะปล่อยไปเช่นนี้”

ปล่อยไปหรือ

เช่นนั้นก็ไม่ใช่ซือลั่วแล้ว

ทว่านางไม่มีทางให้เว่ยฉงซีมองอะไรออกแน่ เช่นเดียวกับเว่ยฉงซี นางไม่ได้เชื่อใจเขาหมดโดยสิ้นเชิง ตอนนี้ทั้งสองกำลังอยู่ในขั้นตอนที่ทดสอบหยั่งเชิงกันและกันอยู่

“ข้ารู้สึกว่าพี่สาวจงไม่ได้น่าสนใจอะไรมากนัก บางทีนางอาจจะแค่เป็นห่วงข้า ยังไงก็ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับข้า ดังนั้นก็ปล่อยมันไปเช่นนี้แหละ!”

ซือลั่วกล่าว

เว่ยฉงซีมองนาง นางก็มองเขาเช่นกัน แล้วทั้งสองต่างก็สบตากันด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย 

“ที่เจ้าพูดมาก็ถูก!” เว่ยฉงซีกล่าว

เมื่อทั้งสองคนพูดจบ ด้านนอกก็มีคนมาอีกแล้ว

ซือลั่วตกใจ คิดในใจว่าวันนี้มันวันอะไรกันเนี่ย ธรณีประตูถูกย่ำจนจะพังหมดแล้ว

ผู้ที่มาเป็นชายชราอายุราวห้าสิบกว่า ไว้เคราบางๆ และมีดวงตาคู่เล็ก แม้ว่าจะรูปร่างอ้วนท้วม แต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยประกาย

ซือลั่วคิดอยู่ครู่หนึ่งก็นึกออก คนผู้นี่แซ่กง เป็นหมอที่มีชื่อเสียงในยุคนี้ เมื่อสามปีก่อนเขารับหน้าที่รักษาขาให้เว่ยฉงซี ภายหลังจึงจะมาที่นี่นานๆ ครั้ง

เจ้าของร่างเดิมไม่ได้สังเกต แต่ซือลั่วรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง พวกเขาจวนจะตายเพราะความยากจนอยู่แล้ว ยังจะมีหมอรีบมาดูอาการให้ได้อย่างไร อีกทั้งเห็นได้ชัดว่าตอนนี้เว่ยฉงซีไม่ได้เจ็บป่วยอะไร เพียงแต่เสียขาไปแล้ว ซึ่งพิสูจน์ได้ชัดเจนว่าทักษะทางการแพทย์ของหมอคนนี้ช่างธรรมดาสามัญอย่างยิ่ง

นางถอยไปด้านหนึ่งแล้วหรี่ตามองดูหมอกง หมอกงแต่งตัวพิถีพิถันมาก แม้ซือลั่วจะไม่รู้แต่ก็ดูออกว่าเสื้อผ้าอาภรณ์ของเขามีค่าหลายตำลึงเงิน

แม้ว่าหมอจะเป็นวิชาชีพที่ทำเงินได้ตั้งแต่สมัยโบราณ แต่หมอกงผู้นี้ดูแปลกประหลาดเกินไปแล้ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ ข้าจะเป็นภรรยาขยัน