หมอกงจับชีพจรของเว่ยฉงซี จากนั้นตรวจดูที่ขาของเขาอย่างละเอียด ท้ายที่สุดจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่มีปัญหาอะไร คุณชายเว่ยสุขภาพแข็งแรง เพียงแต่เคร่งเครียดเกินไป ควรคิดถึงเรื่องที่มีความสุขในวันธรรมดาให้มากหน่อย”
ซือลั่วยิ้มเย็น แต่ไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกใดใดบนใบหน้า
หมอกงยันกายลุกขึ้น ศิษย์ของหมอที่อยู่ด้านข้างรีบเข้ามาประคองแต่กลับ “ไม่ระวัง” ไปชนเข้ากับเก้าอี้ของเว่ยฉงซีจนพลิกคว่ำ เว่ยฉงซีล้มลงบนพื้น ศิษย์ของหมอจึงรีบเข้าไปพยุงอย่างลุกลี้ลุกลนจนเหยียบเท้าลงบนขาของเขาอย่างแรง
ซือลั่วกำหมัดแน่น ในใจแค้นจนคันฟันแต่กลับไม่มีทางเลือก เนื่องจากไม่กล้าเปิดเผยมันออกมา
“คุณชายเว่ย ขออภัย ขออภัยขอรับ!” ศิษย์ของหมอพูดพร้อมกับช่วยพยุงเว่ยฉงซีขึ้น
เว่ยฉงซีไม่แปลกใจ ทั้งยังไม่เศร้าเสียใจหรือโกรธเคือง
เมื่อหมอกงเห็นว่าขาของเว่ยฉงซีไม่มีความรู้สึกจริงๆ ก็มีรอยยิ้มแผ่ไปถึงในดวงตา
“คุณชายเว่ย ข้าต้องขออภัยจริงๆ ศิษย์ของข้าใจร้อนเกินไปจนล่วงเกินท่าน!”
ถึงปากจะกล่าวเช่นนั้น แต่บนใบหน้ากลับไม่มีความละอายใจแม้แต่ครึ่ง
ซือลั่วมองดูอย่างเยียบเย็น ในใจราวกับถูกคนเอาเข็มทิ่มแทงอย่างรุนแรง เมื่อมองท่าทีของเว่ยฉงซีนางก็เป็นทุกข์เกินจะทนไหว
การที่พวกเขาทำเช่นนี้มันเป็นการราดเกลือบนบาดแผลของเขา
"ไม่เป็นไร"
เว่ยฉงซีตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบและไม่กล่าวสิ่งใดอีก
เมื่อหมอกงกับศิษย์ของหมอออกไปด้านนอก ซือลั่วจึงตามออกไป
หลังจากออกจากประตูไปแล้ว หมอกงมองไปทางซือลั่วด้วยความประหลาดใจ "คุณหนูซือ นี่ท่าน..."
ซือลั่วยัดเศษเงินก้อนเล็กชิ้นหนึ่งใส่มือเขา หัวเราะแห้งๆ แล้วกล่าวอย่างกระบิดกระบวนและเอียงอายว่า "หมอกง ข้าอยากจะถามว่ามียาแบบนั้นหรือไม่"
หมอกงตะลึงงัน "ยาอะไร?"
"นั่นคือ…"
ซือลั่วชำเลืองมองที่ศิษย์ของหมอ ศิษย์ของหมอหลีกเลี่ยงออกไปอย่างรู้ความ แล้วเดินไปข้างหน้าหลายก้าว จากนั้นซือลั่วจึงกระซิบว่า "นั่นคือ...เฮ้อ...ข้าชอบบุรุษผู้หนึ่งจึงต้องการยาที่จะทำให้เขาชอบข้า!”
หมอกงยังนึกไปว่าตนเองได้ยินผิดไป เขาเบิกตามองซือลั่วหลายที เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับข่าวลือของซือลั่วมาก่อน ในช่วงสามปีที่ผ่านมาที่เขาให้การรักษาเว่ยฉงซี ถ้านางไม่ยืนพูดจาเยาะเย้ยถางถางเว่ยฉงซีอยู่ด้านข้างก็จะไม่อยู่ที่เรือนแทน กล่าวโดยสรุปแล้วนางไม่ใช่สตรีที่ตรงกับขนบธรรมเนียม อีกทั้งเรื่องที่นางมีความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนกับซิ่วไฉผู้หนึ่งเขาก็ได้ยินมาไม่น้อย
ตอนนี้นางยังต้องการยาชนิดนี้อีก...
ซึ่งหมอกงไม่คิดว่านางจะใช้มันระหว่างนางกับเว่ยฉงซีอย่างแน่นอน
มืออ้วนท้วมของหมอกงลูบเคราของตนเอง “คุณหนูซือ นี่..."
ซือลั่วกล่าว "หมอกง ในฐานะที่พวกเรารู้จักกันมาตั้งหลายปี ท่านได้โปรดช่วยข้าเถอะ!"
ซือลั่วหักใจ และควักเหรียญทองแดงออกมาอีกหลายสิบเหรียญด้วยท่าทางยากจนและประจบประแจง ซึ่งทำให้หมอกงถึงกับขมวดคิ้วครั้งแล้วครั้งเล่า
“ข้าจะลองกลับไปหาดู!” หมอกงกล่าวแต่กลับไม่ยอมรับเหรียญทองแดงของนาง
ซือลั่วกล่าวอีกสองสามประโยคจึงจะกลับเข้าไป
ศิษย์ของหมอเข้ามาถามว่า "นางต้องการอะไร"
หมอกงโค้งคำนับและกล่าวด้วยความเคารพนอบน้อมว่า "นี่มัน..."
ศิษย์ของหมอขมวดคิ้ว
หมอกงกล่าวอย่างรีบร้อน "ยากำหนัด!"
ศิษย์ของหมอคาดไม่ถึงเช่นกันว่าซือลั่วจะไร้ยางอายได้ถึงเพียงนี้ ยังไม่ทันได้พูด หมอกงก็กล่าวเสริม "นอกจากนี้ น่าจะไม่ได้ใช้กับเว่ยฉงซีอย่างแน่นอน!"
ศิษย์ของหมอเข้าใจอย่างรวดเร็ว จากนั้นใบหน้าของเขาก็แสดงอาการขยะแขยง "ให้นาง!"
"ขอรับ!"
ทั้งสองกลับไปถึงโรงหมอ เมื่อเข้าไปในห้องด้านในแล้ว ศิษย์ของหมอก็ถาม “ขาของเว่ยฉงซีเป็นอย่างไร"
หมอกงกล่าว "ไร้ประโยชน์โดยสมบูรณ์ วันนี้ข้าจงใจใช้เข็มเงินแทงจุดลมปราณของเขาอีกด้วย หากมีความรู้สึกอยู่จะต้องทนไม่ได้อย่างแน่นอน แต่เขาไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าขาของเขาใช้การไม่ได้อย่างแท้จริง”
ขณะที่หมอกงเอ่ย ในใจกลับเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม คนพวกนี้นี่จริงๆ เลยเห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนไร้ประโยชน์ไปแล้วก็ยังลองหยั่งเชิงตลอดอยู่ได้ แล้วยังไม่ฆ่าทิ้งไปอย่างเด็ดขาดอีก เดาไม่ออกจริงๆ ว่าพวกเขาคิดสิ่งใดอยู่
ศิษย์ของหมอคิดถึงเหตุการณ์ที่ผู้สอดแนมถูกล่อให้ไปที่อื่นเมื่อวานนี้ก็เกิดข้อกังขาในใจ หรือว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญงั้นหรือ
ขณะที่คิดอยู่หมอกงก็เริ่มปรุงยาด้วยรอยยิ้มที่ร้ายกาจบนใบหน้า
ศิษย์ของหมอมองเขาและถามว่า "เจ้ากำลังทำอะไรอยู่"
"แน่นอนว่ามันเป็นยากำหนัดขนานแรงที่จะให้คุณหนูซือ”
ศิษย์ของหมอตะคอกอย่างเย็นชา "เจ้าอย่าเล่นงานคนอื่นจนถึงตาย!"
“วางใจเถิด เพียงแค่ช่วยเพิ่มความสนุกให้คุณหนูซือเท่านั้น!”
ยิ่งเว่ยฉงซีน่าเวทนาเท่าไหร่ ท่านผู้นั้นที่อยู่ด้านบนก็จะยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้นไม่ใช่หรือ ผ่านมาหลายปีขนาดนี้เขาดูออกทะลุปรุโปร่งมาตั้งนานแล้ว
…
เมื่อซือลั่วกลับมาถึงลานบ้านก็เห็นเว่ยฉงซีนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้าที่เงียบสงบอย่างมาก
“เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม” นางถาม
เว่ยฉงซีเงยหน้าขึ้นมองนางและไม่ถามสิ่งใดแม้แต่น้อย พูดเพียงแค่ "ข้าหิวแล้ว!"
"ตอนกลางวันกินซาลาเปาดีหรือไม่" ซือลั่วไม่ได้ถามต่ออย่างรู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควร
เว่ยฉงซีพยักหน้า
ซือลั่วกล่าวอีกว่า "เจ้าเคยกินซาลาเปาไส้กุยช่ายกับมันฝรั่งหรือไม่”
เว่ยฉงซีตกตะลึง เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่ามันฝรั่งกับกุยช่ายจะใช้ทำซาลาเปาได้ด้วย
ซือลั่วยิ้มและพูดว่า "ที่จริงข้าก็ไม่เคยรู้มาก่อน แต่คราวก่อนมันมีขายอยู่ที่ร้านซาลาเปาในตลาด พวกป้าไช่ก็บอกว่ามันอร่อยดี วันนี้พวกเราลองดูหน่อยไหม”
เว่ยฉงซีพยักหน้า แต่ไม่ได้สนใจมากนัก
หมอกงกับศิษย์ของหมอผู้นั้นจะต้องเป็นคนของจักรพรรดิไม่ผิดแน่ เมื่อสักครู่ที่ทำกับเขาเช่นนั้น นับว่าเป็นการฉวยโอกาสสบประมาท แต่ดูเหมือนเว่ยฉงซีจะชินกับมันเสียแล้ว
อันที่จริงซือลั่วเข้าใจเรื่องราวในโลกของพวกผู้ใหญ่จนเคยชินแล้ว แต่เป็นเพราะว่าจนปัญญาที่จะหยุดมันได้
ก็เหมือนกับเว่ยฉงซีในตอนนี้
“เว่ยฉงซีรอทำรถเข็นเสร็จแล้วข้าจะพาเจ้าไปตลาดนะ” ซือลั่วพูดอย่างกะทันหัน
เว่ยฉงซีฟุ้งซ่านเล็กน้อย เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ก็เงยหน้าขึ้นและพูดกับนางว่า "ไม่ล่ะ!"
ซือลั่วผงะ
เว่ยฉงซีพูดอีกว่า "ข้าออกไปจากลานแห่งนี้ไม่ได้ชั่วชีวิต!"
หลังจากพูดจบก็กลับไปที่ห้อง ซือลั่วยืนอยู่ที่เดิมเป็นเวลานานโดยไม่ได้สติกลับมา นางเกือบจะลืมไปแล้วว่าในพระราชโองการของจักรพรรดิเขียนว่าเว่ยฉงซีไม่สามารถออกจากลานแห่งนี้ได้เว้นแต่เขาจะตายเท่านั้น
แต่ก่อนซือลั่วเคยคิดว่าเว่ยฉงซีถูกความอาฆาตพยาบาทบดบังจนดวงตามืดบอด อ่อนไหวและขี้ระแวงจนเกินไป ทว่าตอนนี้นางเริ่มเข้าใจเขามากขึ้นนิดหน่อยแล้ว
แต่ต่อให้จะพูดอย่างไร ผู้ที่ไม่ได้โดนฝ่ามือตบลงบนใบหน้าก็คงไม่เข้าใจถึงความเจ็บปวดนั้นหรอก
ไม่ได้ประสบกับความยากลำบากของอีกฝ่ายด้วยตัวเอง ก็ไม่ควรเอ่ยคำว่าสามารถเข้าใจอีกฝ่ายได้อย่างถ่องแท้ออกมาตลอดไป
ซือลั่วนึกว่าตนเองจะสามารถเข้าใจเว่ยฉงซีได้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่านางจะไร้เดียงสาเกินไป อีกทั้งแต่ก่อนนางยังคิดว่าจะพาเขาหนีไปจากที่นี่หลังจากหาเงินได้เพียงพอ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าความคิดแบบนี้ช่างน่าขันและอ่อนต่อโลกเหลือเกิน
ในเมื่อจักรพรรดิไว้ชีวิตเขา ก็เป็นเพราะต้องการจะควบคุมเขาเอาไว้ในกำมือ
บริเวณโดยรอบนี้ ก็ยังไม่รู้ว่ามีสายตากี่คู่ที่กำลังจับจ้องอยู่
ซือลั่วเงยหน้าขึ้นมองกำแพงสูง ที่แห่งนี้ราวกับสุสานคนตายอย่างแท้จริงที่เอาไว้กักขังเว่ยฉงซีทั้งยังกักขังนางเช่นเดียวกัน
นางเข้าไปในห้องครัวและนวดแป้งบะหมี่ด้วยน้ำอุ่น จากนั้นสับไส้โดยหั่นมันฝรั่งและกุยช่ายเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่หัวหอม เติมเครื่องปรุงรส เติมเกลือ เติมน้ำมัน จากนั้นจึงรีดแป้งให้แบน สำหรับซาลาเปาที่ไม่ขึ้นฟูจะต้องรีดแป้งให้บางมากๆ เมื่อทำเช่นนี้พอนึ่งออกมาจึงจะมีความหนึบและอร่อย...
หลังจากใส่ซาลาเปาในหม้อแล้ว ซือลั่วก็ผสมบะหมี่เย็นในตอนเช้าและมองไปที่อาหารบนโต๊ะ ฉับพลันก็ให้ความรู้สึกเหมือนกับได้กลับไปยังยุคปัจจุบัน
นางดึงทึ้งศีรษะและอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเรื่องราวในชาติที่แล้ว
บิดามารดาของซือลั่วหย่าร้างกันตั้งแต่นางยังเด็ก เนื่องจากบิดาไปมีหญิงอื่นนอกบ้าน มารดาของนางจึงต้องทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูนาง เดิมทีซือลั่วคิดจะหาเงินให้ได้มากกว่านี้เพื่อทำให้มารดาได้ใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลายอย่างสงบสุข ใครเลยจะคาดคิดว่าโรคร้ายที่มาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยจะทำให้มารดาต้องจากโลกนี้ไปในช่วงเวลาครึ่งปีอันแสนสั้น
หลังจากที่มารดาของซือลั่วจากไป นางก็เกิดความรู้สึกว่าตนเองล้วนถูกคนทั้งโลกทอดทิ้ง ท้ายที่สุดญาติเพียงหนึ่งเดียวของนางในโลกใบนี้ก็ได้จากไปแล้ว คนที่รักและทะนุถนอมนางมาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ มารดาที่มอบทุกสิ่งทุกอย่างที่ดีที่สุดให้แก่นางเสมอได้จากไปแล้ว
ตั้งแต่นั้นมาซือลั่วก็เหลือเพียงตัวคนเดียว
ไม่มีคนคอยมาใส่ใจว่านางปวดกระเพาะหรือไม่อีกต่อไป หรือจะหาแฟนหนุ่มได้หรือไม่ แม้กระทั่งนางตายไปก็คงไม่มีใครมาเสียใจเพราะนาง
ซือลั่วคิดถึงเว่ยฉงซี เขาก็คงจะมีความรู้สึกแบบนั้นเช่นเดียวกันกับตัวนางเอง
เขาพึ่งจะอายุยี่สิบปี สามปีก่อนอายุเพียงแค่สิบเจ็ดปีเท่านั้น...
ซือลั่วยืนขึ้นและเดินไปทางห้องของเว่ยฉงซี
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ ข้าจะเป็นภรรยาขยัน
ไม่อัพแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลยT^T...
เข้ามารอต่อ....แอดจ๋าาาแซงคิวเรื่องนี้โหน่ยยยย พลีสสสส...
รอตอนใหม่อยู่นะคะ สนุกมากๆ 🥹🥹...
แอดจ๋าาาต่อได้ไหมคะ พลีสสสสส TT~TT...
รอบนี้เว้นนานจังค่ะ 🥲ติดงอมแงม...
แอดจ๋าาาาาT^T...
เข้ามาส่องทุกวันT_T...
รอตอนใหม่อย่างมีความหวัง...
รออัพเดทตอน pls....
รออัพตอนใหม่ อย่างมีความหวัง 🥹...