"เว่ยฉงซี ข้าเข้าไปนะ!" ซือลั่วกล่าว
เว่ยฉงซีไม่ได้ตอบ ซือลั่วก็ผลักประตูเปิดเข้ามาแล้ว และเห็นเว่ยฉงซีนั่งเช็ดกระบี่อยู่ข้างโต๊ะ
ซือลั่วกำลังจะพูด แต่เว่ยฉงซีก็หันคมกระบี่ชี้มาทางนาง
ทั้งสองสบสายตาและเห็นถึงความเดียวดายที่คุ้นเคยในดวงตาของกันและกัน...
"เจ้าทำอะไร"
ซือลั่วดูสงบแต่ลอบหวาดหวั่นอยู่ในใจ "ต้องการจะฆ่าข้าหรือ เจ้าอย่าลืมว่ารับปากแล้วว่าจะให้โอกาสข้าอีกครั้ง!"
เว่ยฉงซีไม่ตอบ เพียงแค่มองนางแล้วถามอย่างเย็นชา "เจ้าเป็นใคร"
"ข้าชื่อซือลั่วไง เจ้าเป็นบ้าอะไรกัน!" ซือลั่วปกปิดความรู้สึกร้อนตัว ประหม่าจนฝ่ามือมีเหงื่อออก
เว่ยฉงซียิ้มหยัน "ข้าไม่เชื่อ ซือลั่วตายไปแล้ว นางจมน้ำตาย ส่วนคนที่ฟื้นกลับมาไม่ใช่นาง!"
ซือลั่วตึงเครียดจนเหงื่อเย็นๆ ไหลออกมาไม่หยุด นางรู้ว่าตนเองมีพฤติกรรมที่ผิดปกติ แต่หากจะให้นางทำทุกการเคลื่อนไหว คำพูดคำจา และกิริยาท่าทางเหมือนกับเจ้าของร่างเดิมทุกประการก็เป็นไปไม่ได้หรอก ถึงแม้ว่านางจะตั้งใจลอกเลียนแล้ว แต่ก็ปกปิดเว่ยฉงซีที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันนางมาสามปีไม่ได้หรอก
ซือลั่วอยากจะบอกความจริงกับเขาอย่างยิ่ง นางกำลังลังเลว่าจะลองเดิมพันชีวิตของตนเองสักครั้งดีไหม
ขณะที่นางกำลังลังเลและสับสนอยู่นั้น จู่ๆ เว่ยฉงซีก็วางกระบี่ลงและกล่าวว่า "ซาลาเปาเสร็จแล้วหรือยัง ข้าหิวจะตายแล้ว!"
ซือลั่วตกใจ เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเขาเป็นปกติก็ยิ่งฉงนสงสัยเข้าไปกันใหญ่ นางไม่เข้าใจว่าเขามีแผนการอะไรอยู่กันแน่
หากสิ่งที่เขาคิดก่อนหน้านี้เป็นการคาดเดาทั้งหมด เช่นนั้นตอนนี้เว่ยฉงซีได้รับการยืนยันจากปฏิกิริยาเมื่อครู่ของซือลั่วเรียบร้อยแล้ว ว่าซือลั่วในตอนนี้ไม่ใช่ซือลั่วผู้นั้นตั้งนานแล้ว
อารมณ์ความรู้สึกที่อัดอั้นไม่มีทางที่จะระบายเนื่องจากพวกหมอกงของเว่ยฉงซี พริบตาเดียวก็มีชีวิตชีวาขึ้นไม่น้อย
ไม่ใช่ก็ดี
เขารู้สึกอย่างเบาบางว่า ซือลั่วอาจเป็นเทพเซียนที่พระเจ้าส่งนางมาให้ช่วยเหลือเขา หลังจากเห็นความอยุติธรรมของตระกูลเว่ย
ซือลั่วโดนเว่ยฉงซีทำให้ตกใจกลัวจนเหลือทน นางหวาดกลัวจนตัวสั่นว่าจะถูกสังเวยชีพให้กับสวรรค์ในฐานะปีศาจ
เมื่อเห็นเว่ยฉงซีที่กลับมาสงบสติอารมณ์ได้แล้ว นางจึงกล่าวด้วยความลังเลว่า "ข้าจะแบกเจ้า"
เว่ยฉงซีส่ายหัว "ไม่ต้อง ข้าจะปล่อยให้เจ้าแบกไปตลอดไม่ได้"
ความอ่อนโยนที่มาอย่างกะทันหันของเขาทำให้ซือลั่วตัวสั่นระริก
เว่ยฉงซีรู้สึกว่าตนเองเปลี่ยนไปเร็วเกินไป เขาจัดระเบียบความคิดก่อนที่จะพูดว่า "ข้าขยับเองได้!"
ซือลั่วไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเฝ้าดูเขาคลาน ยิ่งดูก็ยิ่งทนดูไม่ไหวจนต้องเบนสายตาออกไป
…
รูปลักษณ์ของซาลาเปาดูไม่ค่อยดี แต่รสชาติกลับไม่เลวเลยทีเดียว
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังทานอาหาร เว่ยฉงซีก็ขมวดคิ้วเมื่อเห็นซาลาเปาไส้เนื้อลูกใหญ่สองลูกที่เห็นได้ชัดว่าดีกว่าซาลาเปาของซือลั่วมาก
มันเป็นอันที่จงซิ่วหลิงนำมาให้ แต่ซือลั่วกลับไม่ได้โยนมันทิ้งไป
“เอาพวกนี้ไปโยนทิ้งซะ!” เว่ยฉงซีกล่าว
ซือลั่วอดไม่ได้ที่จะถลึงตามองเขาและเคาะตะเกียบบนชาม "เพิ่งกินอิ่มมาไม่กี่วันก็ลืมไปแล้วว่ารสชาติของความอดอยากเป็นอย่างไร เหตุใดจะต้องเอาของดีๆ ไปโยนทิ้งด้วย”
เว่ยฉงซีชำเลืองมองนาง ของที่จงซิ่วหลิงนำมาให้นางก็ไม่แม้แต่จะรังเกียจที่จะกินมัน
“เจ้าไม่กลัวว่าจงซิ่วหลิงจะวางยาเจ้าจนตายหรือ” เว่ยฉงซีตีบบะหมี่เย็นกินไปพลางถามไปพลาง
ซือลั่วตะลึง แล้วจึงส่ายหัว "ไม่ใช่ว่านำมาให้เจ้าหรือ นางไม่ได้ต้องการจะวางยาพิษเจ้าเสียหน่อย!"
เมื่อเว่ยฉงซีเห็นว่านางไม่ได้หึงหวงแม้แต่น้อย กระทั่งยังดูมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นอีกก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว "ถ้าหากมีของส่งเสริมอารมณ์อะไรผสมอยู่ด้านใน ข้าไม่เป็นไรหรอก ข้าแค่เกรงว่าเจ้าจะรับไม่ไหว”
ซือลั่วตกใจจากนั้นหน้าก็แดง หรือว่าเขาได้ยินที่นางคุยกับหมอกง
สุดท้ายซือลั่วก็ทิ้งซาลาเปาไป ถ้าหากถูกวางยาขึ้นมาจริงๆ คงได้ไม่คุ้มเสีย คนอย่างจงซิ่วหลิงจะทำเรื่องอะไรออกมาก็ได้
เว่ยฉงซีจึงกินข้าวต่ออย่างพึงพอใจ
ซือลั่วลอบสังเกตเขามาโดยตลอด นางมักจะรู้สึกว่าวันนี้เว่ยฉงซีทำตัวพิลึกไปหมด ทั้งยังมีพฤติกรรมที่แปลกประหลาดอย่างมาก
เว่ยฉงซีสังเกตเห็นได้อย่างง่ายดายว่าซือลั่วกำลังสังเกตตนเองอยู่ เขากินซาลาเปาอย่างสบายอกสบายใจ อารมณ์ดีมาก และไม่ได้รับผลกระทบจากผู้อื่นแม้แต่น้อย หากเป็นเว่ยฉงซีที่อ่อนไหวและเปราะบางเมื่อสามปีก่อน ที่โดนซือลั่วคนก่อนด่าทอและทารุณทั้งวันมาตลอดสามปีนี้ จนเขาเคยชินไปนานแล้ว ต่อให้ได้ยินคำพูดเหยียดหยามใดๆ หรือแม้กระทั้งถูกเหียบย่ำที่ขาจะนับว่าเป็นอะไร
เมื่อซือลั่วเห็นว่าเขาไม่ได้ผิดปกติจึงลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หลังจากกินข้าวเสร็จ ซือลั่วก็ไปล้างจานก่อน ส่วนเว่ยฉงซีนั่งอยู่ในลานบ้าน ตอนที่ซือลั่วออกมาก็ เห็นเขาถือข้าวหนึ่งกำมือเพื่อหยอกพ่อไก่อยู่
"ซือฮวา มาสิ กินให้เยอะหน่อย!" เว่ยฉงซีพูด
ซือลั่วหมดคำจะกล่าวมาก พ่อไก่สองตัวที่ซื้อมาจากป้าไช่หนึ่งในนั้นโดนกินไปแล้ว แต่เว่ยฉงซีไม่ยอมให้อีกหนึ่งกินตัวที่เหลือ โดยบอกว่าตนเองอุดอู้เกินไป ให้เหลือไก่ตัวหนึ่งไว้หยอกเล่น
แต่เรื่องที่น่าคับแค้นใจที่สุดก็คือเว่ยฉงซีตั้งชื่อให้พ่อไก่ว่า "ซือฮวา!"
ซือลั่วกับซือฮวา หากวางไว้ด้วยกันดูอย่างไรก็เหมือนเป็นคนครอบครัวเดียวกัน ซือลั่วโมโหจนคันฟัน และเคยเอ่ยเตือนเขาอย่างชัดเจนแล้วว่าไม่อนุญาตให้เรียกชื่อนี้ แต่เว่ยฉงซีทำเหมือนนางเป็นอากาศธาตุ
“เจ้าชอบมันมากถึงเพียงนี้ เหตุใดไม่เรียกว่าเว่ยฮวาเล่า!” ซือลั่วเคยถามเว่ยฉงซี
แต่เว่ยฉงซีกลับกล่าวด้วยใบหน้าเศร้าใจว่า "ข้าไม่มีคนในครอบครัวอีกแล้ว!"
ซือลั่ว "..."
นางใช้ชีวิตมาสองโลกแล้วแต่ก็ไม่เคยพบเคยเจอบุรุษเช่นเว่ยฉงซี ตอนที่ควรจะแสร้งทำเป็นน่าสงสารเขาก็มักจะทำมันได้เป็นอย่างดี จนซือลั่วยังเผลอคิดไปว่าเขาช่างน่าสงสารจริงๆ
ตอนที่ควรจะไร้ยางอายเขาก็แสนจะไร้ยางอาย ตัวอย่างเช่น เมื่อเขาเรียกพ่อไก่ว่าซือฮวาแล้วซือลั่วคัดค้าน เขาก็จะแสร้งทำท่าทางน่าสงสาร
ซือลั่วรู้สึกว่าเขาเป็นหนุ่มหน้าขาวใจดำที่เหมือนกับบัวลอยไส้งาดำที่มีแป้งสีขาวกับไส้สีดำ
"เหอะเหอะ!"
เมื่อซือลั่วได้ยินเขาเรียกพ่อไก่ว่าซือฮวาก็หัวเราะอย่างเยียบเย็นอีกครั้ง แต่ทว่าไร้ผล
"ข้าจะออกไปข้างนอก!" ซือลั่ว กล่าว
เว่ยฉงซีชำเลืองมองนาง "ตอนเช้าข้าบอกจงซิ่วหลิงว่าเจ้าไม่กลับบ้านทั้งคืน หากออกไปข้างนอกไม่กลัวว่าจะถูกเปิดโปงหรือ”
"เช่นนั้นก็บอกไปว่าข้ากลับมาตั้งแต่ตอนเที่ยง!" ซือลั่วกล่าว
เว่ยฉงซี "..."
"กลับมาเร็วๆ หน่อย!" เว่ยฉงซีกล่าว
ซือลั่วพยักหน้า
นางเปลี่ยนเป็นชุดบุรุษแล้วออกไป
หลังจากที่นางจากไปเว่ยฉงซีก็เลิกแกล้งพ่อไก่และเล่นข้าวสารกำนั้นในมือ หลังจากนั้นไม่นานก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา เขาอยากเห็นมากว่าซือลั่วจะจัดการกับจงซิ่วหลิงอย่างไร
“อย่าทำให้ข้าผิดหวังโดยเด็ดขาดล่ะ นางปีศาจ”
…
หลังจากจงซิ่วหลิงกลับบ้านในตอนสาย ในใจก็เต็มไปด้วยความสุข รู้สึกว่าที่ตนเองรอคอยมาตลอดสามปีในที่สุดก็จะสมหวังดังปรารถนาแล้ว กำลังวางแผนจะไปเรือนของหลิวจงเพื่อจับผิดดูว่าเจ้าโง่เง่าซือลั่วออกไปด้วยกันกับหวังหยวนไว่จริงหรือไม่
แต่ยังไม่ทันได้ออกไปก็ถูกมารดาของนางหลี่ซื่อหยุดไว้ “จะไปหาไอ้คนขาพิการผู้นั้นอีกแล้วหรือ”
หลี่ซื่อทั้งสูงทั้งผอม ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี ดูราวกับมีอายุเพียงสามสิบกว่าปี มีความสง่างามอย่างมาก ดูคล้ายกับจงซิ่วหลิงถึงหกเจ็ดส่วน เวลาพูดจาจะมีน้ำเสียงเสียดแหลมบาดหู ในดวงตาเต็มไปด้วยการคำนวณ มีความรู้สึกคล้ายคลึงกับจงซิ่วหลิงอย่างมาก
“ท่านแม่ เหตุใดท่านจึงพูดจาไม่น่าฟังถึงเพียงนี้ คนขาพิการอะไรกัน!” จงซิ่วหลิงไม่ค่อยอยากได้ยินหลี่ซือพูดถึงเว่ยฉงซีเช่นนี้
หลี่ซื่อสีหน้ามืดครึ้ม "ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้วว่าคนขาพิการที่อยู่ตัวคนเดียว ไม่มีภูมิหลังและไม่มีผู้หนุนหลังนอกจากรูปงามแล้วก็ไม่มีอะไรดีอีก ไม่มีอะไรทั้งสิ้น หากเจ้าแต่งให้เขาก็คงได้กินแต่ลมซีเป่ย เจ้าดูอย่างเจ้าโง่ซือก็คงรู้ นางจะหลบหนีก็สายเกินไปแล้ว แต่เจ้าสิ ยังรีบไปเข้าหาเอง”
ในความเป็นจริงจากมุมมองของหลี่ซื่อ การที่เรียกเว่ยฉงซีว่าเขาขาพิการถือเป็นการยกย่องเขาแล้ว คนพิการไร้ค่าอย่างเขายังเทียบไม่ได้กับคนขาพิการ
จงซิ่วหลิงขมวดคิ้ว "ตอนแรกไม่ใช่ว่าท่านให้ข้าไปเข้าใกล้เจ้าโง่ซือหรือไง"
เรื่องนี้คือสิ่งที่หลี่ซื่อเสียใจภายหลังมากที่สุดเช่นกัน ตอนแรกนางเห็นว่าตอนที่พวกซือลั่วพึ่งมาถึงดูมีเงินอยู่บ้างเลยคิดจะให้จงซิ่วหลิงไปหาผลประโยชน์เล็กน้อย และจงซิ่วหลิงก็ไม่ทำให้นางผิดหวัง หลอกเอาเงินเจ้าโง่ซือมาได้อย่างง่ายดาย แต่ใครจะคิดว่านางจะเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ชอบใจใครดันไม่ชอบ แต่ดันไปถูกใจคนพิการไร้ค่า เจ้าพิการไร้ค่านั้นมีอะไรดีกัน แค่มีลมหายใจมากกว่าคนตายเท่านั้น แต่หน้าตาดีมันกินได้ไหมเล่า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ ข้าจะเป็นภรรยาขยัน
ไม่อัพแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลยT^T...
เข้ามารอต่อ....แอดจ๋าาาแซงคิวเรื่องนี้โหน่ยยยย พลีสสสส...
รอตอนใหม่อยู่นะคะ สนุกมากๆ 🥹🥹...
แอดจ๋าาาต่อได้ไหมคะ พลีสสสสส TT~TT...
รอบนี้เว้นนานจังค่ะ 🥲ติดงอมแงม...
แอดจ๋าาาาาT^T...
เข้ามาส่องทุกวันT_T...
รอตอนใหม่อย่างมีความหวัง...
รออัพเดทตอน pls....
รออัพตอนใหม่ อย่างมีความหวัง 🥹...