ทะลุมิติ ข้าจะเป็นภรรยาขยัน นิยาย บท 46

ซือลั่วหัวเราะเสียงดัง รู้สึกดีขึ้นเหลือจะพรรณนา

นางเปลี่ยนชุดและออกมา แล้วจึงนำอาหารที่ห่อกลับจากเหลาสุราวางลงบนโต๊ะ "วันนี้ข้าขี้เกียจทำอาหาร เจ้ากินนี่สิ!"

เว่ยฉงซีมองดูจานเนื้อสองอย่าง อาหารมังสวิรัติหนึ่งอย่าง และยังมีสุราหนึ่งกา กับเนื้อวัวราดซอสอีกหนึ่งจาน

เมื่อซือลั่วเห็นว่าเขาไม่ขยับ จึงวางตะเกียบไว้ในมือของเขา "รีบกินหน่อย ถ้าช้าจะไม่เหลือแล้วนะ”

หลังจากกล่าวจบก็คีบเนื้อชิ้นหนึ่งยัดเข้าปากโดยไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์

เว่ยฉงซีหิวมานานแล้ว พอเห็นนางกินแบบนี้เขาจะทนได้อย่างไร จึงหยิบตะเกียบขึ้นมากินทันที

อาจเป็นเพราะกับข้าวค่อนข้างอร่อย ทั้งสองจึงไม่พูดคุยอะไรสักคำ อาหารบนโต๊ะก็ถูกกวาดหมดจนเรียบวุธอย่างรวดเร็ว

ซือลั่วลูบท้องและโห่ร้องออกมาอย่างสุขใจ จากนั้นรินสุราให้ตนเองกับเว่ยฉงซีคนละถ้วย "มา ชนสักแก้ว ดื่มฉลองที่วันนี้พวกเรามีเนื้อกิน!"

เว่ยฉงซีรับถ้วยสุรามาและดื่มหนึ่งอึก "วันนี้เจ้าออกไปทำอะไร"

ซือลั่วตกใจพร้อมกับกระพริบตาใส่เขา "ข้าออกไปเดินเล่น!"

เมื่อเว่ยฉงซีเห็นว่านางยิ้มอย่างมุ่งร้าย ทันใดนั้นก็เกิดความสนใจเล็กน้อย "ที่ไหน"

"มันเป็นถนนสายหลักน่ะ" ขณะพูดซือลั่วก็ชำเลืองมองเว่ยฉงซี แต่เว่ยฉงซีกำลังยกถ้วยดื่มน้ำจึงดูไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่

ซือลั่วจึงกล่าว "เจ้าเคยออกไปข้างนอกไหม"

เว่ยฉงซีส่ายหัว "ไม่เคย"

ซือลั่วไม่สามารถอธิบายความรู้สึกในใจได้ว่าเป็นอย่างไร และในใจก็คิดว่าหากเขาเป็นเช่นนี้มันจะแตกต่างอะไรกับการอยู่ในคุก

ซือลั่วหยิบกระดาษกับพู่กันออกมา คิดในหัวครู่หนึ่งและเขียนตัวอักษรออกมาสักสองสามตัว เมื่อเว่ยฉงซีเห็นตัวอักษรของนาง เขาแทบจะหมดสนุก "นี่เจ้าเรียกสิ่งนี้ว่าตัวอักษรหรือ”

ซือลั่วพยักหน้า นางใช้พู่กันเขียนอักษรไม่เป็น เขียนได้ขนาดนี่ก็นับว่าดีมากแล้ว

เว่ยฉงซีเหลือบมองนางหลายที ยิ่งมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่านางไม่ใช่ซือลั่ว แม้ว่าซือลั่วคนก่อนจะมีชื่อเสียงไม่ค่อยดี นิสัยก็แย่ ทว่านางมีข้อดีอยู่หนึ่งอย่างก็คือเขียนตัวอักษรได้ดีอย่างมาก นี่ต้องยกความดีความชอบให้กับอัครเสนาบดีซือเทียนอี้ เนื่องจากซือเทียนอี้เป็นทั่นฮวาในปีนั้นและด้วยลายมือที่งดงามจึงได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดิ เขาค่อนข้างภูมิใจในเรื่องนี้ฉะนั้นจึงเชิญอาจารย์ผู้มีความเชี่ยวชาญมาสอนวิธีเขียนอักษรให้แก่บุตรและบุตรีของตนตั้งแต่ยังเด็ก เหล่าคุณชายกับคุณหนูแห่งจวนตระกูลซือต่างก็มีความสามารถในการเขียนตัวอักษรจีนได้ดีทีเดียว แต่คนเบื้องหน้าผู้นี้...

เว่ยฉงซีหรี่ตา พร้อมทั้งคิดในใจว่าตกลงนางโผล่มาจากที่ใดกันแน่ ถึงจะมีข้อบกพร่องไม่น้อยก็ช่างมันเถิด แต่ยังเขียนตัวอักษรได้น่าเกลียดถึงเพียงนี้อีก

เมื่อซือลั่วถูกเขาถามก็นึกอะไรขึ้นมาได้ นางจึงหดคอ พอเว่ยฉงซีเห็นท่าทางเช่นนี้ของนางก็รู้ว่านางกำลังคิดหาเหตุผลอยู่ จึงกล่าว "เป็นเพราะตกน้ำจนสมองได้รับการกระทบกระเทือนใช่หรือไม่”

ซือลั่วพยักหน้า "ใช่ ช่วงนี้ข้ามักจะปวดหัวตลอด ความจำก็ไม่ค่อยดีนัก..."

ขณะที่นางพูดก็เงยหน้าขึ้นและสังเกตเห็นว่าเว่ยฉงซีกำลังจ้องมองนางด้วยรอยยิ้มที่ราวกับไม่ยิ้ม

ซือลั่วหัวเราะแห้งๆ "คือว่า ข้ายังต้องเขียนอักษรต่ออีกนะ”

อันที่จริงซือลั่วรู้สึกเสียใจภายหลังเล็กน้อย หากรู้แต่แรกก็คงเขียนอยู่ในห้องของตนเองไปแล้ว แม้ว่าผู้ดูแลร้านเจียงจะรู้ว่านางเป็นใครแต่ก็ไม่ได้รู้จักนางดี ดังนั้นต่อให้คราวก่อนนางจะเขียนตัวอักษรน่าเกลียดมากแค่ไหน ผู้ดูแลร้านเจียงก็คงไม่พบอะไร 

แต่เว่ยฉงซีใช้ชีวิตอยู่กับเจ้าของร่างเดิมเป็นเวลาสามปีแล้ว เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าลายมือของนางมีลักษณะอย่างไร

ชั่วขณะนั้นซือลั่วไม่รู้จะพูดอะไรดี จึงก้มศีรษะลงพร้อมกับจับพู่กัน ด้วยความสั่นเทาจึงทำให้น้ำหมึกหยดลงบนกระดาษเซวียนจื่อสีขาวจนเปรอะเปื้อนหมึกสีดำหนึ่งหยด ซือลั่วมองไปที่จุดสีดำนั้น ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ขัดหูขัดตาจนไม่สามารถเขียนตัวอักษรออกมาได้แม้แต่ตัวเดียว

"ข้าสอนเจ้าไหม"

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เว่ยฉงซีคว้ามือข้างหนึ่งของนางขึ้นมา มือของเขาใหญ่มาก เมื่อกุมมือนางไว้ อุณหภูมิจากฝ่ามือก็ทะลุผ่านผิวหนังและไหลซึมเข้าสู่กระแสเลือด เรี่ยวแรงของเขาเยอะมากจนทำให้นางขยับไม่ได้ แต่ทว่าทั้งสองอยู่ใกล้กันมากจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน

ซือลั่วกลั้นลมหายใจ

"มือต้องจับพู่กันแบบนี้ อย่าออกแรงตอนลงพู่กันมากเกินไป ดังเช่นตอนนี้!"

ท่าทางสุภาพบุรุษของเว่ยฉงซีกลับทำให้ซือลั่วพูดอะไรไม่ถูก ไม่สามารถต่อว่าอะไรได้ นางรู้สึกอึดอัดไปทั้งตัวจนบิดไปบิดมา

เว่ยฉงซีเหลือบมองนางจึงเห็นว่าใบหูของนางแดงเถือก ใบหน้าก็เป็นสีแดงอมชมพูเช่นเดียวกัน ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าซือลั่วที่เป็นเช่นนี้ค่อนข้างน่ารักเลยทีเดียว

ถูกต้อง เขาตั้งใจทำมัน ก็ในเมื่อชีวิตมันน่าเบื่อเกินไป แล้วเขาจะหาความบันเทิงนิดหน่อยไม่ได้หรือ

ลมหายใจร้อนผ่าวของเว่ยฉงซีรดลงบริเวณลำคอของซือลั่ว เขากล่าวด้วยน้ำเสียงทุ่มต่ำในลำคอว่า "ซือลั่ว เจ้าแปลกไปนะ"

ซือลั่วผงะ แน่นอนว่านางฟังความผิดปกติในน้ำเสียงของเขาออก ใบหน้าจึงยิ่งแดงก่ำ นางหันหน้าไปถลึงตาใส่เว่ยฉงซี จากนั้นจึงพยายามผลักเขาออก “อยู่ให้ห่างจากข้าหน่อย!”

เว่ยฉงซีหัวเราะทันทีเมื่อนางถูกผลักออกไป เว่ยฉงซีที่ชอบพูดจาเสียดสีประชดประชันนางเห็นจนชินตาแล้ว แต่รอยยิ้มของเขาในตอนนี้กลับทำให้ซือลั่วตกตะลึง แล้วรู้สึกทั้งอายทั้งโมโห "เจ้าหัวเราะอะไร"

“เจ้าหน้าแดงถึงเพียงนี้เพราะกำลังคิดถึงอะไรอยู่เล่า เรื่องที่จะใช้ชีวิตฉันสามีภรรยากับข้าหรือ” เว่ยฉงซีพูดอย่างทันทีทันใด

ซือลั่วขมวดคิ้ว หัวใจเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง ทั้งหน้าแดงก่ำราวกับลูกมะเขือเทศ

"เจ้า... เจ้าพูดเรื่องไร้สาระอะไร ข้ายังไม่ทันได้คิดอะไรไปไกลเลย” ซือลั่วลนลาน หลายวันมานี้นางดีกับเว่ยฉงซีเกินไปจนทำให้เขาเข้าใจอะไรผิดไปสินะ

"ถูกต้อง ว่างจนเบื่อเลยพูดไร้สาระไปประโยคหนึ่ง เจ้าก็อย่าคิดจริงจังเล่า!"

เว่ยฉงซีวางพู่กันในมือลงแล้วพูดอย่างเกียจคร้าน

ซือลั่ว "..."

นางคิดว่าก่อนหน้านี้นางคงประเมินเขาต่ำไปใช่หรือไม่ เขาเป็นคนค่อนข้างไร้ซึ่งกิเลสตัณหา แต่ยิ่งอยู่ด้วยกันก็ยิ่งค้นพบว่าแท้จริงแล้วเว่ยฉงซีเป็นคนเจ้าเลห์ และบางครั้งยังมีนิสัยเสเพลอีกด้วย

ซือลั่วคิดว่า บางทีเขาอาจจะเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก แต่แค่สามปีที่ผ่านมานี้ถูกกดขี่มากเกินไป ส่งผลให้เขาเปลี่ยนอุปนิสัยไปจนดูเหมือนคนเย็นชาเฉยเมย

ซือลั่วโมโหจนพูดไม่ออก ทำได้เพียงถลึงตามองเว่ยฉงซี

比她平时更有味道。 เมื่อเว่ยฉงซีเห็นนางเป็นเช่นนี้ ก็ค้นพบว่าท่าทางตอนโมโหของซือลั่วน่าสนใจยิ่งกว่าตอนปกติของนางเสียอีก

ซือลั่วมองท่าทางของเขา ราวกับหมาป่าจอมขี้เกียจตัวหนึ่งที่กำลังจ้องมองเหยื่อของมันอยู่ นางขมวดคิ้วหยิบ กระดาษกับพู่กันบนโต๊ะขึ้นมาแล้วหันกายเพื่อเข้าห้องไป

เสียงของเว่ยฉงซีกลับดังตามมาจากด้านหลัง "ซือลั่ว ข้ากระหายน้ำ!"

“คอแห้งจนตายไปได้ก็ดี!” ซือลั่วปิดประตู แล้วจึงกุมหัวใจดวงน้อยๆ ที่เต้นอย่างบ้าคลั่งไว้

เจ้าเว่ยฉงซีสมควรตาย

นางวางกระดาษกับพู่กันลงบนโต๊ะ มองไปทางหยดหมึกขนาดใหญ่จุดนั้นแล้วอารมณ์เมื่อสักครู่ก็หายไป

ทางด้านนอก เว่ยฉงซีซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างเกียจคร้านกำลังลูบคางด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็ถือถ้วยน้ำไว้ พร้อมกับจ้องไปทางห้องของซือลั่ว ในดวงตาปรากฎความต้องการเอาชนะอันแสนมุ่งมั่นอย่างชัดเจน

ในเวลานี้ จงซิ่วหลิงเพิ่งจะมาถึงบ้านของหลิวจงซึ่งอยู่ไม่ไกลจากถนนสายหลัก ซึ่งมีด้านหน้าเป็นร้านค้าส่วนด้านหลังเป็นลานบ้าน หลิวจงเปิดร้านขายของชำที่ขายของทุกอย่าง แต่ถ้าหากเข้าใจนิสัยของหลิวจงดีก็จะทราบว่าที่จริงแล้วร้านแห่งนี้ไม่ใช่ของหลิวจง แต่เป็นของภรรยาหลิวจงนามว่าหวังซิ่งฮวา ในครอบครัวของหวังซิ่งฮวามีบุตรีเพียงแค่สามคน โดยหวังซิ่งฮวาเป็นบุตรคนสุดท้อง หลังจากที่พี่สาวทั้งสองแต่งออกไปแล้ว บิดาของนางก็ไปประกาศหาลูกเขยให้นาง ซึ่งก็คือหลิวจง เนื่องจากครอบครัวของหลิวจงมีบุตรชายหลายคน ทั้งยังฐานะยากจนจึงตัดสินให้หลิวจง “แต่งออก” มาแทน

หลิวจงจัดการกับปัญหาต่างๆ ได้เก่งมากและยังมีไหวพริบอีกด้วย จนสามารถพูดตะล่อมพ่อตาแม่ยายหวังรวมถึงหวังซิ่งฮวาให้มีความสุขจนดีอกดีใจได้ ดังนั้นเขาจึงมีชีวิตอยู่ในบ้านสกุลหวังอย่างดี นอกจากมีฐานะเป็นเขยแต่งเข้าบ้านแล้วอย่างอื่นล้วนดีหมด

ตอนที่จงซิ่วหลิงมาถึง ในร้านก็มีเพียงเด็กรับใช้ผู้เดียว เด็กรับใช้จำนางได้จึงถามด้วยความยิ้มแย้มว่า “แม่นางจง มาหาเถ้าแก่หรือ เขาไม่ได้อยู่ที่นี่”

จงซิ่วหลิงตะลึงงัน "ลูกพี่ลูกน้องชายของข้าไม่ได้กลับมาเลยหรือ"

เด็กรับใช้พยักหน้า "ไม่ได้กลับมาตั้งแต่เมื่อคืน เถ้าแก่เนี้ยโกรธจนอาละวาดแล้ว!"

จงซิ่วหลิงขมวดคิ้วเล็กน้อย คิดในใจว่าลูกพี่ลูกน้องชายกับหวังหยวนไว่อยู่ด้วยกัน บวกกับสายตาที่เขามองซือลั่วเมื่อวานนี้...

จงซิ่วหลิงคิดว่าเขาจะต้องอยู่ที่บ้านของหวังหยวนไว่อย่างแน่นอน จึงเย้ยหยันเล็กน้อยในใจ ดูเหมือนว่าครานี้ซือลั่วจะโดนเข้าแล้วจริงๆ...

รอยยิ้มกำลังกระเพื่อมบนใบหน้าของจงซิ่วหลิงและยังไม่ทันจะบานเต็มที่ ก็ถูกตบลงบนใบหน้าอย่างรุนแรง ฝ่ามือนี้ตบได้หนักหน่วงอย่างยิ่งจนจงซิ่วหลิงเซล้มลงบนพื้น และไปฟาดโดนโอ่งบนพื้นจนพลิกคว่ำ เศษกระเบื้องที่แตกจึงทิ่มแทงเข้าไปมือจนเลือดสดๆ ไหลออกมา

นางโดนตบจนมึนจึงกรีดร้องพร้อมกับกุมใบหน้าไปด้วย แต่ก็โดนถีบอีกครั้ง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ ข้าจะเป็นภรรยาขยัน