ทะลุมิติ ข้าจะเป็นภรรยาขยัน นิยาย บท 62

ซือลั่วฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ ในใจนางรู้สึกเคารพเลื่อมใสในเว่ยเซียวอย่างยิ่ง นอกจากนี้ในตอนนี้นางเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าเว่ยเซียวไม่มีทางวางแผนก่อกบฏอย่างเด็ดขาด มิเช่นนั้นเขาคงจับหลี่หยวนเป็นตัวประกันเพื่อยึดครองราชสำนักตั้งแต่ปีนั้นไปแล้ว

ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะความหวาดระแวงและความใจคอคับแคบของจักรพรรดิองค์ปัจจุบันที่กริ่งเกรงในอำนาจของเว่ยเซียว การได้มาซึ่งอำนาจของจักรพรรดิล้วนเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่สมัยโบราณกาล เพียงแค่รู้สึกสงสารเว่ยฉงซีกับคนสกุลเว่ยเท่านั้น

“ตระกูลเว่ยของพวกข้ากับอาณาจักรจิน สามสิบหกชนเผ่าในซีอวี้ รวมถึงอนารยชนจากทางตอนใต้ต่างก็มีหนี้แค้นบัญชีเลือดต่อกัน พวกเขาไม่เพียงแต่จะไม่รับตัวข้าไว้เท่านั้น ในทางกลับกันคงจะกำจัดข้าให้สิ้นซากเสียอีก สำหรับแคว้นหนานเยว่นั้น...”

เว่ยฉงซีส่ายหัว "ในช่วงปีแรกๆ ข้าได้ไปล่วงเกินจักรพรรดิแห่งแคว้นหนานเยว่ เซียวเซิ่นจือเป็นคนอาฆาตแค้นอย่างมาก หากเขารู้ว่าข้าไปแคว้นหนานเยว่ล่ะก็ เกรงว่าข้าคงได้ตายอย่างอนาจยิ่งกว่านี้”

หลังจากที่เว่ยฉงซีกล่าวจบก็มองไปทางซือลั่ว "ดังนั้น จักรพรรดิจึงไม่ได้กังวลเลยว่าข้าจะหลบหนี เขาทิ้งข้าไว้ที่นี่เพื่อให้ข้าตกอยู่ในสภาพลำบากยากแค้นจนรู้สึกว่าอยู่ไม่สู้ตาย! แน่นอนว่ายังมีอีกหนึ่งเหตุผลที่สำคัญยิ่งกว่า...”

ซือลั่วกล่าว "เป็นเพราะกองกำลังทหารซีเป่ยใช่หรือไม่”

เว่ยฉงซี พยักหน้า

ซือลั่วรู้นิดหน่อยว่าในปีนั้นที่องค์จักรพรรดิได้นองเลือดสกุลเว่ย เพื่อที่จะปลอบขวัญเหล่ากองกำลังทหารซีเป่ยกว่าแสนนายจึงได้เหลือตัวเว่ยฉงซีไว้ แน่นอนว่าสามปีที่ผ่านมานี้ เหล่าผู้อาวุโสในกองกำลังซีเป่ยในปีนั้นต่างถูกกำจัดไปน้อย ผู้ที่ภักดีต่อสกุลเว่ยอย่างแท้จริงยังมีอยู่มากน้อยเพียงใดก็ไม่มีใครรู้ อย่างไรก็ตามทุกคนล้วนเป็นมนุษย์ต่างก็มีคนในครอบครัวกันทั้งนั้น จึงไม่สามารถสละชีพเพื่อท่านอ๋องที่สิ้นชีพไปแล้วกับท่านอ๋องน้อยที่พิการได้ อีกทั้งการต่อต้านของพวกเขาก็อาจจะไม่มีความหมายเลยแม้แต่น้อย

เว่ยฉงซีพยักหน้า จากนั้นจึงหัวเราะด้วยความขมขื่น "ตระกูลเว่ยของพวกข้าสร้างความลำบากให้กับพวกเขาแล้ว”

หลังจากกล่าวจบเขาก็หลุบตาลง

สาเหตุที่เขาได้รับบาดเจ็บเมื่อสามปีก่อนเป็นเพราะเขาถูกองค์จักรพรรดิส่งตัวให้ไปต่อสู้กับอาณาจักรจิน ขณะนั้นเว่ยฉงซียังไม่ทราบว่าตระกูลเว่ยกำลังจะเกิดเรื่อง เขาเพียงแค่นำกองกำลังสามพันนายบุกทะลวงเข้าไปยังดินแดนชาวหู ผลสุดท้ายกลับโดนลอบโจมตี เหล่าทหารสามพันนายดิ้นรนต่อสู้สุดชีวิตจึงสามารถส่งตัวเขาออกมาได้

ซือลั่วมองเขาโดยไม่รู้ว่าจะปลอบใจเขาอย่างไรดี

นางก้าวไปข้างหน้าแล้วกุมมือเขาไว้ "เว่ยฉงซี..."

เว่ยฉงซีเงยหน้าขึ้นโดยกลับคืนสู่ความเฉยเมยก่อนหน้านี้ไปแล้ว ราวกับผู้ที่เล่าเรื่องราวที่แสนจะโศกเศร้าเมื่อครู่นี้ไม่ใช่เขา

"ไม่เป็นไร" เขาพูด

ซือลั่วลอบถอนหายใจ มองดูลานบ้านที่ตนเองอยู่อาศัยอยู่ครู่หนึ่ง และตัดสินใจได้ในที่สุดว่านางจะต้องไปจากที่นี่อย่างแน่นอน

การอาศัยอยู่ที่นี่นั้นไม่ต้องพูดถึงเลยว่านางกับเว่ยฉงซีจะอัดอั้นตันใจจนเป็นบ้า สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ หลังจากที่กองทัพซีเป่ยถูกจักรพรรดิยึดครองอย่างสมบูรณ์ เกรงว่าตอนนั้นคงจะเป็นเวลาตายของนางกับเว่ยฉงซีเป็นแน่

ทั้งสองนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ซือลั่วจึงถามว่า "ตระกูลโจวที่โจวซืออี้อาศัยอยู่เป็นตระกูลเดียวกับโจวกุ้ยเฟยหรือไม่”

เว่ยฉงซีพยักหน้า "ปีนั้นจิ้นอ๋องเป็นผู้นำในการยึดทรัพย์สินตระกูลเว่ย”

เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบอย่างยิ่ง ทว่ามือที่อยู่ในแขนเสื้อกลับกำเข้าหากันจนแน่น

เขารู้ดีว่าหลี่ฉงเหยียนทำอะไรลงไปบ้าง

ซือลั่วสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของเขา แต่นางก็รู้ดีว่าเรื่องเหล่านี้จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับมัน บางทีคงจะดีกว่าที่ได้ระบายมันออกมา

"ตระกูลโจวเปิดหอเทียนเซียง เช่นนั้นเจ้าของที่อยู่เบื้องหลังหอจวี้เซียนเป็นใครกัน”

ซือลั่วอยากรู้อยากเห็นอย่างมาก ผู้ที่กล้าต่อกรกับเหลาสุราที่มีเชื้อพระวงศ์เป็นผู้อยู่เบื้องหลังได้นั้นจัต้องเป็นพระบรมวงศานุวงศ์เป็นแน่

“เจ้าปราดเปรื่องนักซือลั่ว” เว่ยฉงซีมองนาง “เดาดูสิ”

ซือลั่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลี่ฉงเหยียนเป็นโอรสสวรรค์ทั้งยังมีโจวกุ้ยเฟยเป็นผู้หนุนหลังอีก เช่นนั้นการที่หอจวี้เซียนยังมีความคิดที่จะกดข่มพวกเขาเช่นนี้ได้ผู้ที่อยู่เบื้องหลังจะต้องอยู่ในระดับเดียวกันเป็นแน่ องค์รัชทายาทหรือจะเป็นเย่าอ๋องหลี่ฉงหลิน

“เย่าอ๋อง?” ซือลั่วถาม

“เหตุใดจึงไม่ใช่องค์รัชทายาทเล่า” เขาถาม

ซือลั่วกล่าว "องค์รัชทายาทได้..."

นางหยุดชะงักชั่วครู่แล้วจึงกล่าวต่อว่า “องค์รัชทายาทได้พิการไปแล้ว นอกเสียจากว่าสามารถรักษาขาให้หายได้ มิฉะนั้นเขาก็หมดหวังที่จะได้ครองบัลลังก์แล้ว ดังนั้นเขาในตอนนี้ไม่มีใจทั้งยังไม่มีเวลามาแก่งแย่งชิงดีกับท่านอ๋องเหมือนกับไก่ชนหรอก อีกประการหนึ่งแก่งแย่งชิงดีไปก็ไม่มีความหมาย ก็แค่เหลาสุราหนึ่งแห่งเท่านั้น ต่อให้เขาเปิดกิจการจนกลายเป็นเหลาสุราอันดับหนึ่งในแผ่นดินก็ไร้วาสนาที่จะเป็นรัชทายาทผู้สืบต่อบัลลังก์อยู่ดี แต่หอจวี้เซียนใจร้อนคิดอยากที่จะกดข่มหอเทียนเซียงจนเกินไป ดังนั้นจะต้องเป็นเย่าอ๋องหลี่ฉงหลินอย่างแน่นอน”

เว่ยฉงซีพยักหน้า "วิเคราะห์ได้ไม่เลว ดังนั้นเจ้าก็ได้ช่วยเหลือหอจวี้เซียนจนได้ล่วงเกินหลี่ฉงเหยียน ล่วงเกินตระกูลโจวและโจวกุ้ยเฟยไปโดยปริยาย”

ซือลั่วยิ้ม “แต่ว่าพวกเราได้ช่วยเย่าอ๋องไปแล้ว ไม่ว่าเขาจะยอมรับหรือไม่เรื่องราวก็ได้กลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว นอกจากนั้น...”

ซือลั่วจำใจกล่าว "พวกเราจวนจะอดตายกันอยู่แล้ว ยังจะสนใจไปทำไมว่าจะล่วงเกินใครไม่ล่วงเกินใคร”

เว่ยฉงซีค่อนข้างชอบความดื้อรั้นเช่นนี้ของนางเลยทีเดียว “หลี่ฉงเหยียนเป็นพวกโหดเหี้ยมไร้ความปรานี จากสารรูปของพวกเราในตอนนี้ไม่ว่าใครก็สามารถบดขยี้ได้ทั้งนั้น อย่าไปประชันขันแข่งกับเขาจะดีกว่า”

ซือลั่วเหลือบมองเขา "เขากล้าฆ่าพวกเราหรือ"

เว่ยฉงซีถามอย่างสนอกสนใจ "ทำไมจะไม่กล้าเล่า"

ซือลั่วยิ้ม "พอสกุลเว่ยสิ้นอำนาจ ผู้ที่อยากให้เจ้าตายต้องมีจำนวนมากเป็นแน่ โดยเฉพาะจิ้นอ๋อง แน่นอนว่าในอดีตพวกเจ้าจะต้องมีคนที่ล่วงเกินไว้เป็นแน่ แต่จนถึงตอนนี้ นอกจากหมอกงที่คอยสอดส่องความเคลื่อนไหวแล้วก็ไม่เคยมีผู้ใดมาที่บ้านอีก และเราทั้งสองก็ยังมีชีวิตอยู่เท่านี้ก็เพียงพอที่จะอธิบายปัญหาข้อหนึ่งได้แล้ว”

"อะไร?"

ซือลั่วกล่าว "องค์รัชทายาทพิการ อ๋องทั้งสองก็ห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด ขุมอำนาจทั้งหลายกำลังจับตามองอยู่ และจักรพรรดิองค์ปัจจุบันจะต้องเคลือบแคลงสงสัยเป็นแน่ ดังนั้นนพวกเขาจึงไม่กล้าฆ่าเจ้า เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้องค์จักรพรรดิเกิดความหวาดระแวง ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เจ้าก็ไม่ได้เป็นภัยคุกคามสำหรับพวกเขาอีกด้วย” 

หลังจากที่ซือลั่วกล่าวจบก็พบว่าเว่ยฉงซีกำลังจ้องมองมาที่นางด้วยดวงตาดำขลับอันแสนลุ่มลึกที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่นางไม่เข้าใจ

เว่ยฉงซีรู้สึกประหลาดใจจริงๆ เขานึกว่าต่อให้ซือลั่วจะเปลี่ยนไปแล้วก็ยังเป็นเพียงแค่จอมตะกละที่อกใหญ่แต่ไร้สมองเท่านั้นและกระทั่งเป็นแม่ค้าหน้าเลือดอยู่หน่อยๆ แต่เขาคิดไม่ถึงว่านางจะสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ในขณะนี้ออกมาเป็นฉากๆ ได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนเช่นนี้

ข้อข้องใจได้ผุดขึ้นมาในใจของเขาอีกครั้ง

นางเป็นใคร?

หากเป็นการยืมซากคืนชีพ เช่นนั้นซือลั่วในตอนนี้มาจากที่ใดกัน แต่เดิมนางเป็นใคร

สตรีผู้หนึ่งกลับรู้วิธีทำน้ำแข็งจากดินประสิวได้อย่างเกินคาดและมีวิธีการแสนจะแปลกประหลาดทุกรูปแบบ กระทั่งขนมที่นางทำ รวมถึงคำที่นางพูดในบางคราล้วนเป็นสิ่งที่เว่ยฉงซีไม่เคยได้ยินมันมาก่อนทั้งสิ้น

เมื่อถูกเว่ยฉงซีจ้องมองเช่นนี้ นางก็รู้โดยทันทีว่าเขาสงสันนางแล้ว

แต่เดิมนางยังคิดเพียงแค่ว่าจะใช้ชีวิตให้ผ่านพ้นไปวันต่อวัน แต่ทว่าเมื่อได้กล่าวถึงเรื่องราวในวันนี้จนตัวนางเองได้วิเคราะห์เรื่องเหล่านั้น ซือลั่วก็ค้นพบว่านางคิดผิดไป

ถ้าหากนางกับเว่ยฉงซีไม่ทำอะไรสักอย่าง พวกเขาจะมีแค่ทางตันเพียงเท่านั้น

จิตวิญญาณแห่งนักสู้ของซือลั่วถูกจุดขึ้นจนลุกโชน ผู้คนมักจะสามารถปลดปล่อยศักยภาพที่เกินกว่าจะจินตนาการได้เสมอในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง

ซือลั่วก็เช่นกัน

นางมองเข้าไปในดวงตาของเว่ยฉงซีและถามเบาๆ ว่า "เว่ยฉงซี เจ้าเต็มใจไหม"

เพียงแค่ไม่กี่คำก็ทำให้สีหน้าของเว่ยฉงซีมืดมนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ มีเจตนาที่จะฆ่าปรากฎในดวงตาของเขา

ซือลั่วกัดฟัน นางต้องการพนันดูสักครั้ง พนันว่าเว่ยฉงซีจะไม่เต็มใจ และพนันว่าเขาจะมีแผนการอื่น หากเขาไม่มีเพราะกริ่งเกรงในองค์จักรพรรดิอย่างสิ้นเชิง เช่นนั้นนางก็จะทำตามแผนของนางคือการพาเขาออกไปจากต้าโจว นางไม่เชื่อหรอกว่าท้องฟ้าและแผ่นดินอันแสนกว้างใหญ่ไพศาลจะไม่มีที่ซุกหัวนอนสำหรับพวกเขา ต่อให้เลวร้ายกว่านี้ นางก็แค่หาภูเขาลึกป่าอันเก่าแก่เพื่อหลบซ่อนตัวก็ยังดีกว่าการอาศัยอยู่ในเรือนทรุดโทรมแห่งนี้และถูกคนลอบฆ่าอย่างเงียบเชียบเป็นไหนๆ  

เว่ยฉงซียกมือที่อยู่ภายในแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อย หากเป็นซือลั่วคนก่อนมาถามเช่นนี้ก็คงตายไปนานแล้ว

แต่ทว่าในตอนนี้เขากลับมีความลังเล...

ซือลั่วเห็นบางอย่างเช่นกัน นางจึงกัดฟันกล่าวว่า “ข้ายังไม่อยากตาย หากเจ้าเต็มใจข้าก็จะพาเจ้าหนีไป แต่หากไม่เต็มใจพวกเราก็ค่อยมาคุยกันใหม่!"

นางใช้กลอุบายที่ใช้เจรจากับผู้คนทางการค้าไปแล้ว สิ่งที่ต่างกันคือแต่ก่อนหากล้มเหลวอย่างมากนางก็แค่สูญเสียเงินแค่จำนวนหนึ่ง แต่ในตอนนี้กลับต้องสูญเสียชีวิต

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ ข้าจะเป็นภรรยาขยัน