ทะลุมิติ ข้าจะเป็นภรรยาขยัน นิยาย บท 65

ทั้งสองคุยไปพลางเดินไปพลาง ทว่าล้วนเป็นป้าไช่ที่พูด ส่วนซือลั่วฟัง

ป้าไช่พูดเรื่องราวในหมู่บ้านของพวกเขาเสียมากมาย และยังบอกอีกว่ามีภูเขาหมาป่าอยู่ที่ด้านหลังหมู่บ้านพวกนาง ว่ากันว่าด้านบนมีหมาป่าอยู่ แต่คนทั่วไปต่างก็ไม่กล้าขึ้นไปกันทั้งนั้น

“บนภูเขามีของดีอะไรไหม เช่นผลไม้อะไรเทือกนี้” ซือลั่วถามเมื่อเขาได้ยินหลางซาน

ป้าไช่ลองคิดดู "มีพุทธาป่า สตรอเบอร์รี่ป่า ผลซิ่งรสเปรี้ยว เก๋ากี้ เมื่อถึงสารทฤดูจะมีองุ่นอีกด้วย ทว่าของบนเขามีไม่มาก พอเข้าสารทฤดูก็ถูกคนเก็บไปหมดแล้ว ด้านในก็มีหมาป่า เว้นแต่จะเป็นนายพรานผู้ช่ำชอง คนธรรมดาต่างก็ไม่กล้าไปกันทั้งนั้น ครอบครัวชาวนาอย่างพวกเราก็มีปลูกองุ่นอยู่บ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นการปลูกในระแนงบ้านของตนเอง เอาไว้เป็นของกินเล่นให้พวกเด็ก ๆ เพราะองุ่นเก็บไว้ไม่ดี”

“ตากแห้งไม่ได้หรือ” ซือลั่วถาม

“จะว่าได้ก็ได้ แต่มันมีไม่มากนัก อีกทั้งองุ่นไม่อร่อยสักเท่าไหร่และมีรสเปรี้ยวเล็กน้อย จะว่าไปองุ่นที่อร่อยที่สุดอยู่ทางแถบซีอวี้และคนจากซีอวี้มักจะนำมาขายประจำ อย่างไรก็ตาม ของแบบนี้จะกินเป็นของว่างก็พอได้แต่ทำให้อิ่มท้องไม่ได้"

ป้าไช่ได้ปลดล็อกความช่างพูดแล้ว เมื่อเห็นว่าซือลั่วฟังอย่างสนอกสนใจ นางจึงกล่าวอีกว่า “สิ่งสำคัญคือการปลูกมันฝรั่ง ข้าวสาลี และฝ้าย หากมุ่งไปในเมืองทางทิศตะวันตกอีกหน่อยก็มีปลูกพุทธาจีนอยู่ด้วย แต่ไม่มากนัก”

ป้าไช่ฟังเรื่องราวเหล่านี้มาจากสิ่งที่หลิวเซินเคยเล่าก่อนหน้านี้

“เสี่ยวเซินของเรารู้มากเพราะแต่ก่อนเขาเคยเป็นพ่อค้าหาบเร่” ยามที่ป้าไช่เอ่ยถึงหลิวเซินก็ไม่สามารถปกปิดความภาคภูมิใจได้

เมื่อพูดแบบนี้ซือลั่วถึงได้เข้าใจเรื่องราวโดยประมาณและมีแผนการอยู่ในใจแล้ว

ยามกลับไปถึงเรือน หลังคาซ่อมแซมเรียบร้อยแล้ว ทั้งหลิวต้าจู้และหลิวเซินกำลังดื่มชาอยู่ในลานบ้าน ส่วนเว่ยฉงซีนั่งอยู่อีกด้านหนึ่ง แม้ว่าจะนั่งอยู่เรื่อยเปื่อยแต่บรรยากาศรอบกายของเขากลับแตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไป

หลิวเซินลอบประเมินเว่ยฉงซี เขาเคยพบเจอผู้คนมาจนนับไม่หวาดไม่ไหว ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าท่านนี้หากไม่ใช่คหบดีก็ต้องเป็นขุนนางชั้นสูงเป็นแน่

เขากำลังใคร่ครวญแผนการบางอย่างอยู่ ส่วนหลิวต้าจู้นั้นคิดเรียบง่ายกว่าอย่างมาก ทำงานไปตั้งมากมายถึงเพียงนี้เขาจึงหิวตั้งนานแล้ว เมื่อเห็นว่าพวกซือลั่วกลับมาแล้ว เขาจึงเงยหน้าขึ้นมองของที่หิ้วอยู่ในมือพวกเขา

ส่วนหลิวต้าจู้นั้นคิดเรียบง่ายกว่าอย่างมาก ทำงานไปตั้งมากมายถึงเพียงนี้เขาจึงหิวตั้งนานแล้ว เมื่อเห็นว่าพวกซือลั่วกลับมาแล้ว เขาจึงเงยหน้าขึ้นมองของที่หิ้วอยู่ในมือพวกเขา

แต่ในครานี้หลิวเซินกลับมองดูซือลั่วอย่างละเอียด เขามั่นใจอย่างมากว่าทั้งสองคนนี้จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาเป็นแน่ อย่างน้อยพวกชาวบ้านตาดำ ๆ เช่นพวกเขาก็เทียบไม่ติด

เขายืนขึ้นและรับของจากมือป้าไช่มา "ท่านแม่ ข้าบอกว่าประเดี๋ยวจะไปซื้อเองไม่ใช่หรือ"

หลิวเซินรู้ดีว่ามารดาของเขามีเงินไม่มาก แต่ก็คอยเก็บหอมรอมริบทีละน้อย เพื่อที่จะให้เขากับต้าจู้สามารถตบแต่งภรรยาได้

ตัวหลิวเซินเองก็จำต้องเข้มแข็งเช่นกัน เขาเคยไปเรียนสำนักศึกษาส่วนตัวมาสองปี จึงรู้ตัวอักษรมาบ้าง ต่อมาเมื่อบิดาจากไป เขาก็ไม่เล่าเรียนต่ออีก หลังจากเติบโตขึ้นมาหน่อยจึงไปเป็นพ่อค้าหาบเร่ข้างถนน หลิวเซินมีความมุ่งมาดปรารถนาว่าไม่อยากทำไร่ไถนาที่บ้าน เมื่อมองสีหน้าของท่านปู่ที่ยังมีชีวิตอยู่ ต่อมาจึงคิดได้ว่าการเป็นพ่อค้าหาบเร่นั้นไร้อนาคต จึงได้เข้าไปเป็นเสี่ยวเอ้อร์ที่หอเทียนเซียง เขาคิดว่ารอเขาทำงานไปสักสองสามปี ไม่แน่ว่าอาจจะได้เป็นเสมียนก็เป็นได้ หาไม่แล้วเมื่อเก็บเงินจนเพียงพอแล้วค่อยออกจากหอเทียนเซียงมาเปิดร้านค้าเล็กๆ เป็นของตัวเองก็ได้เช่นกัน

ในตอนนี้หลิวเซินพึ่งจะอายุสิบหกปี จึงไม่ค่อยกระตือรือร้นเกี่ยวกับเรื่องที่มารดาหมั้นหมายให้เขาด้วยตัวเองนัก แต่เพื่อให้มารดารู้สึกวางใจเขาจึงทำได้เพียงแค่ตามใจนาง

เมื่อเห็นพวกซือลั่วในขณะนี้ หลิวเซินจึงอดที่จะให้ความสนใจมากขึ้นไม่ได้

เขาเป็นชายหนุ่มที่มีความทะเยอทะยานซึ่งไม่ต้องการที่จะอาศัยอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ไปวัน ๆ ดังนั้นยามที่เล่าเรียนจึงยิ่งมุมานะพากเพียรขึ้นไปอีกและปฏิบัติต่อผู้คนอย่างรอบคอบมากกว่าผู้อื่น

เว่ยฉงซีเป็นใครกัน เขาดูออกอย่างชัดเจนว่าหลิวเซินเป็นคนอย่างไร เขาพูดคุยกับเขาสั้น ๆ เพียงไม่กี่ประโยคก็เข้าใจเจตนาของเขาแล้ว

เมื่อซือลั่วกลับมา หลิวเซินกับเว่ยฉงซีก็พูดคุยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว

เมื่อป้าไช่เห็นหลิวเซินถามถึงขนม ก็ยิ้มจนตาหยี “นี่เป็นของที่ซือลั่วทำเอง” หลิวเซินชำเลืองมองซือลั่วและไม่ได้แปลกใจเลย อันที่จริงผู้ที่สามารถทำให้หอเทียนเซียงปลดป้ายร้านได้จะทำขนมชนิดหนึ่งก็ไม่แปลกอันใด

หลิวเซินชำเลืองมองซือลั่วและไม่ได้แปลกใจเลย อันที่จริงผู้ที่สามารถทำให้หอเทียนเซียงปลดป้ายร้านได้จะทำขนมชนิดหนึ่งก็ไม่แปลกอันใด

“ซือลั่วบอกว่าให้นำมามอบให้พวกเจ้าไว้ใช้ตอนนัดบอดในวันพรุ่งนี้” ป้าไช่อดไม่ได้ที่จะพูดด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความประทับใจในตัวซือลั่ว

หลิวเซินกล่าวอย่างเคร่งขรึม "ขอบคุณมาก"

“เป็นข้าที่ต้องขอบคุณพวกท่าน หากไม่มีพวกท่าน คราวหน้าที่ฝนตกจะต้องเปียกเป็นแน่”

หลังจากที่ซือลั่วกล่าวอย่างสุภาพจบ ก็มองไปทางหลิวเซินพร้อมกับหรี่ตาลงเล็กน้อย และมีแผนการบางอย่างในใจแล้ว

นางอยู่ที่นี่โดยไร้ญาติขาดมิตรจึงเป็นการดีที่จะรู้จักผู้อื่นบ้าง ป้าไช่กับคนอื่น ๆ ซื่อสัตย์เกินไป หลิวต้าจู้ก็ไม่ค่อยพูดค่อยจา หลิวเซินผู้นี้ดูมีอนาคตอย่างมาก แต่เขาเป็นเสี่ยวเอ้อร์ที่หอเทียนเซียง ยังจำเป็นที่จะต้องพิจารณาเสียหน่อย

เมื่อคนทั้งหลายทักทายปราศรัยกันไม่กี่ประโยคและเห็นว่าเวลาไม่คอยท่าแล้ว ป้าไช่และคนอื่นๆ จึงลุกขึ้นเพื่อบอกลา ซือลั่วรู้ว่าพวกเขาต้องรีบกลับบ้านจึงไม่ได้รั้งไว้มากนัก หลังจากที่ส่งพวกเขาออกไปแล้วนางก็กลับไปที่ลานบ้าน

ลานบ้านที่พึ่งจะคึกครื้นเงียบสงัดลงในทันที ซือลั่วจึงรู้สึกไม่คุ้นชินอยู่เล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่ต้องเผชิญหน้ากับเว่ยฉงซีเพียงลำพัง

นางหยิบถั่วแดงกวนที่ทำเองออกมาแล้วยื่นให้เว่ยฉงซีสองอัน “ข้าทำเอง ชิมดูสิ”

เมื่อเว่ยฉงซีเห็นสัญลักษณ์ของเหยาจี้ ก็เข้าใจว่าเจ้าสามทำงานสำเร็จแล้ว แต่เขาก็อยากรู้อย่างมากว่าซือลั่วจะสามารถทำขนมชนิดไหนได้บ้าง เขาแกะกระดาษห่อออก มองไปยังขนมเปี๊ยะไส้ถั่วแดงกวนที่กรอบและมีสีเหลืองทอง รู้สึกว่ามองจนมีความอยากอาหารอย่างมาก

เว่ยฉงซีหยิบมาหนึ่งอันและบิดออกมาหนึ่งชิ้น แป้งขนมเปี๊ยะกรอบจนร่วงกราว เมื่อเขากินไปหนึ่งชิ้นดวงตาก็เป็นประกายในทันทีจนต้องหันศีรษะไปมองซือลั่ว 

ขนมที่เลิศรสเช่นนี้ แต่ก่อนจะต้องเป็นยามที่เขาอยู่ที่จวนอ๋องหรือหลานจิงเท่านั้นถึงจะได้ทาน ทั้งยังต้องทำจากอาจารย์ทำขนมที่มาจากในวังอีกด้วย เขาคาดไม่ถึงจริงๆ ว่านางจะสามารถทำถั่วแดงกวนที่ธรรมดาให้ออกมาอร่อยถึงเพียงนี้ได้

ซือลั่วเริ่มรู้สึกอิ่มเอมใจอีกครั้ง นางถือเปี๊ยะชิ้นหนึ่งไว้ในมือและยังมีอีกชิ้นหนึ่งอยู่ในปากของนาง พูดไปพลางถามไปพลาง “เป็นอย่างไรบ้างท่านอ๋องน้อย อร่อยกว่าขนมถั่วแดงที่เจ้าเคยกินก่อนหน้านี้หรือไม่”

เว่ยฉงซีไม่ได้กระฟัดกระเฟียดอย่างหาได้ยาก แต่กลับพยักหน้า “ทำอย่างไรหรือ”

หลังจากที่ซือลั่วอธิบายวิธีการแล้ว เว่ยฉงซีก็กล่าวว่า “ใส่น้ำมันหมูลงในขนมหรือ”

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเรื่องนี้

"ใช่ และตอนอบจะต้องทาไข่ลงบนเปลือกอีกด้วย สรุปคือทุกขั้นตอนจะขาดไม่ได้แม้แต่อันเดียว แน่นอนว่าการควบคุมความร้อนก็สำคัญมากเช่นกัน"

เว่ยฉงซีรับมาและกินไปแล้ว และยังอยากที่จะกินมันอีก ซือลั่วก็แย่งอีกหนึ่งชิ้นที่เหลือไปเสียแล้ว

“ท่านอ๋องน้อยเว่ยเคี้ยวมากเกินไปไม่ได้นะ” ซือลั่วกล่าว

เว่ยฉงซีถลึงตาใส่นางแล้วถามว่า “เจ้าทำถั่วแดงกวนแล้ว ยังต้องการที่จะขายสูตรอาหารอยู่ไหม”

ซือลั่วขมวดคิ้ว นางตัดสินใจไม่ได้ หากเป็นแต่ก่อนนางคงขายสูตรลับให้ผ่านพ้นไปวันๆ ทว่าตั้งแต่ที่นางสัมผัสได้ถึงวิกฤต นางก็เริ่มคิดใตร่ตรองถึงทางรอดในอนาคตมากยิ่งขึ้น

“ข้าต้องการร่วมลงทุนและรับเงินปันผล" ซือลั่วพูดพร้อมกับมองไปยังเว่ยฉงซี

เว่ยฉงซีตกตะลึง

ซือลั่วจึงกล่าวว่า "เมื่อร่วมลงทุนกับเหยาจี้ ข้าจะให้สูตรลับ ส่วนพวกเขาอยู่หน้าร้านกับลูกค้า เงินที่หามาได้จะถูกแบ่งครึ่ง เจ้าคิดว่าดีหรือไม่”

หากเป็นคนอื่นเขาจะรู้สึกว่าไม่ได้ แต่เหยาจี้เป็นร้านของเขาและซือลั่วก็เป็นผู้หญิงของเขา ดังนั้นเขาจึงคิดว่าไม่เป็นไร ถึงอย่างไรก็เป็นหมูที่อยู่ในอวยไม่ว่าจะทางไหนเขาก็ได้ประโยชน์อยู่ดี

“เพียงแต่เขาไม่รู้สถานะของพวกเรา เหยาจี้จะกล้ายอมรับมันไหม ท่านอ๋องน้อยเจ้าคิดว่าอย่างไร” ซือลั่วถามพร้อมกับมองเข้าไปในดวงตาของเขา

เว่ยฉงซีตกใจและหันกลับไปมองนาง เขารู้สึกอยู่เสมอว่าซือลั่วในตอนนี้ดูเหมือนจะรู้อะไรบางอย่างเข้าแล้ว

“เจ้าไปถามดูก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ” เว่ยฉงซีหลุบสายตาลงแล้วกล่าว

“เช่นนั้นต้องการให้ข้าไปซื้อเค้กถั่วแดงสักสิ้นหรือไม่”

ซือลั่วพูดไม่ทันขาดคำ สีหน้าของเว่ยฉงซีก็มืดมนในชั่วพริบตาพร้อมกับนัยน์ตาที่อบอวลไปด้วยเจตตาที่อยากจะฆ่า

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ ข้าจะเป็นภรรยาขยัน