ทะลุมิติ ข้าจะเป็นภรรยาขยัน นิยาย บท 66

ซือลั่วใจเต้นตึกตัก กังวลจนเหงื่อท่วมเต็มมือไปหมด

อันที่จริงนางเห็นชายเสื้อที่อยู่ใต้เตียงตั้งแต่ที่หลิวก่วงมาเมื่อครานั้นแล้ว ทว่านางก็ไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้น วันนั้นนางได้กลิ่นหวานที่จางอย่างมากในห้องของเว่ยฉงซี ซือลั่วคิดไม่ออกว่าเป็นกลิ่นอะไร จนกระทั่งเว่ยฉงซีบอกว่าอยากกินเค้กถั่วแดงแล้วซือลั่วไปร้านเหยาจี้และได้กลิ่นขนมอันหอมหวานนั้น...

หลังจากที่นางนำเค้กถั่วแดงกลับมาก็ได้กลิ่นนั้นในห้องอีก วันนี้นางไปร้านเหยาจี้ด้วยความอยากลองดู และก็เป็นไปดังคาด เถ้าแก่ตกลงให้นางแสดงฝีมืออย่างง่าย

เรื่องทั้งหมดนี้เป็นไปอย่างราบรื่นจนเกินไป ราบรื่นจนซือลั่วมิอาจยอมรับได้ ดูท่าว่าท่านอ๋องน้อยเว่ยที่อยู่เบื้องหน้าจะมีเรื่องราวเบื้องหลัง

เนื่องจากนางกับเว่ยฉงซีลงเรือลำเดียวกันแล้ว นางจึงควรจัดวางตำแหน่งที่นั่งของตนเองให้ดี เลี่ยงไม่ให้เว่ยฉงซีผลักไสนางออกไปหรือทอดทิ้งนางในภายภาคหน้า เช่นนั้นนางคงจะถึงที่ตายเป็นแน่แท้

ซือลั่วอยากที่จะทำความเข้าใจถึงได้พูดออกมาเช่นนี้

นางมองไปที่เว่ยฉงซีอย่างประหม่าเพราะกลัวว่าเขาจะฆ่าคนเพื่อปิดปาก

“ไม่ต้องแล้ว ถั่วแดงกวนก็ดีมากแล้ว" หลังจากเว่ยฉงซีพูดจบก็ไม่กล่าวสิ่งใดอีก และมองดูซือลั่วอย่างเงียบเชียบ

สายตาของเขาทำให้นางรู้สึกกลัว ราวกับว่าเขาได้กลายเป็นคนอื่นไปแล้ว ซือลั่วคิดว่าบางทีนี่อาจจะเป็นตัวตนที่แท้จริงของเว่ยฉงซี เขาไม่ได้ยินยอมมาตั้งแต่แรกแล้ว

“ตอนเย็นจะกินอะไร” ซือลั่วกัดฟันถาม

“แล้วแต่"

ซือลั่วคิดอยู่ครู่หนึ่ง "วันนี้ป้าไช่ส่งผักมาให้ไม่น้อยเลย พวกเราเอาไปผัดดีไหม”

"ดี"

ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้นางไม่อาจนิ่งนอนใจ

นางกัดฟันไปห้องครัวแล้วจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อลอบมองไปยังเว่ยฉงซีที่อยู่ด้านนอกก็พบว่าเขากำลังจ้องมองซือฮวาที่อยู่ในเล้าโดยที่หันหลังให้นาง นางจึงไม่รู้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่ แต่หากสังเกตจากปฏิกิริยาเมื่อครู่ ซือลั่วสัมผัสได้ถึงความอาฆาตอย่างชัดเจน

เมื่อลอบมองไปยังเว่ยฉงซีที่อยู่ด้านนอกก็พบว่าเขากำลังจ้องมองซือฮวาที่อยู่ในเล้าโดยที่หันหลังให้นาง นางจึงไม่รู้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่ แต่หากสังเกตจากปฏิกิริยาเมื่อครู่ ซือลั่วสัมผัสได้ถึงความอาฆาตอย่างชัดเจน

เว่ยฉงซีมีเจตนาที่จะฆ่าจริง ๆ เขามีความคิดนี้มาตั้งแต่เช้าแล้ว จนกระทั่งเมื่อสักครู่ที่ซือลั่วเกือบจะพูดความลับของเขาออกมา ความคิดนี้ก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น 

รอบกายเขาอันตราย หากไม่ระวังแม้แต่นิดเดียวก็คงไม่มีทางที่จะฟื้นคืนได้อีกตลอดไป

เขามองไปทางซือฮวา แล้วมองไปยังลานบ้านที่สะอาดและเป็นระเบียบ จากนั้นจึงลูบที่วางแขนของรถเข็น หลังจากที่เงียบไปนาน เขาก็เค้นหัวเราะขึ้นมาอย่างกะทันหัน

สิ่งที่ซือลั่วไม่รู้ก็คือเว่ยฉงซีได้ตัดสินใจลงไปแล้ว

ทั้งสองคนกินอาหารเย็น อาหารเย็นมื้อนี้ดูไม่ต่างจากปกติ แต่ซือลั่วกลับสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่แปลกประหลาด

หลังจากกินข้าวเสร็จ นางก็ล้างจาน ส่วนเว่ยฉงซีก็กลับไปยังห้องของตนเอง

นางกลับไปที่ห้องของตนเอง พอคิดหน้าคิดหลังดูก็รู้สึกว่ามันไม่ค่อยปกตินัก ปฏิกิริยาของเว่ยฉงซีไม่ปกติอย่างมาก

เขาต้องการที่จะฆ่านางใช่หรือไม่

ซือลั่วตื่นตระหนกจนเหงื่อแตกพลั่ก

นางใช้ชีวิตอย่างสงบสุขมานานเกินไปจนประเมินความเหี้ยมโหดอำมหิตของผู้คนในยุคโบราณต่ำเกินไปอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเว่ยฉงซีที่ปีนขึ้นมาจากกองซากศพคนตายในสมรภูมิรบ สำหรับเขานั้นคงไม่ได้แยแสชีวิตของคนมากนัก

ซือลั่วเดินวนบนพื้นอย่างร้อนรน นางรู้สึกว่าเว่ยฉงซีจะต้องลงมือในคืนนี้เป็นแน่ นางไม่มีเวลามาคิดว่านางดีต่อเขามากเพียงใดหรือคิดถึงมิตรภาพระหว่างพวกนาง ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระ ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงเมื่อเทียบกับสิ่งที่เจ้าของร่างเดิมทำกับเว่ยฉงซี 

นอกจากนี้นางได้แตะเกล็ดย้อนของเว่ยฉงซีเข้าให้แล้ว เขาต้องการที่จะลงมือแล้วหรือ

เมื่อดับไฟ ทั่วทั้งลานบ้านก็เงียบสงบอย่างแปลกประหลาด

ซือลั่วนอนอยู่ในความมืดมน ไม่กล้าหลับตาและตัวสั่นระริกตลอดทั้งคืน จนกระทั่งซือฮวาขันขึ้นมาในยามรุ่งสาง ซือลั่วจึงอดทนไม่ไหวอีกต่อไปและผล็อยหลับไปด้วยความสะลืมสะลือ

ในตอนนี้เอง ประตูของเว่ยฉงซีก็เปิดออกอย่างเงียบเชียบและปิดลงในชั่วพริบตา

ซือลั่วรู้สึกว่าหายใจลำบากขึ้นเรื่อย ๆ นางลืมตาขึ้นท่ามกลางความมืดมิดและมองเห็นเพียงคนรูปร่างสูงใหญ่ที่เลือนรางอยู่ข้างเตียงของนางเท่านั้น

“...ปล่อยข้า!" นางทั้งจับทั้งข่วนอย่างร้อนรน แต่คนผู้นั้นราวกับตั้งใจที่จะบีบคอนางจนตาย จึงไม่ให้ช่องทางหนีแก่นางเลย ซือลั่วสัมผัสได้ถึงความตายอีกครั้งอย่างชัดเจน...

นางเบิกตากว้างและจ้องมองคนผู้นั้นด้วยความหวาดหวั่น นางรู้ว่านั่นคือเว่ยฉงซี

ยามที่ซือลั่วคิดว่าตนเองจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย ทันใดนั้นมือที่บีบนางอยู่ก็ปล่อยออก ซือลั่วร่วงลงบนพื้น หอบหายใจอย่างหนักพร้อมกับกุมลำคอไว้ นางไม่เคยคิดว่าการที่ได้หายใจจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีถึงเพียงนี้มาก่อน  ลำคอของนางน่าจะบาดเจ็บแล้ว ทุกครั้งที่หายใจก็รู้สึกเจ็บคอไปส่วนหนึ่ง...

ความรู้สึกที่รอดชีวิตจากเคราะห์ร้ายได้นั้นชัดเจนแจ่มแจ้งอย่างมาก

ทันใดนั้นไฟในห้องก็สว่างขึ้นซือลั่วเงยหน้าขึ้นและเห็นเว่ยฉงซีนั่งอยู่ข้างเตียงของนาง ขณะนี้นางกำลังนั่งอยู่บนพื้น เว่ยฉงซีมองดูนางจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ

"ซือลั่วจดจำความรู้สึกนี้ไว้ซะ นี่คือความรู้สึกของความตาย คราวหน้าก่อนที่จะพูดจาหรือทำอะไรก็คิดถึงความรู้สึกนี้ไว้”

น้ำเสียงของเว่ยฉงซีมีความเย็นเยียบไร้อารมณ์ ราวกับว่าได้กลายเป็นคนอื่นไปแล้วซึ่งทำให้นางรู้สึกแปลกหน้า

ซือลั่วคิดที่จะพูดอะไรบางอย่าง แต่นางพูดไม่ออกแม้แต่น้อย

นางรวบรวมสติอยู่ครู่หนึ่งจนกระทั่งท้องฟ้าด้านนอกสว่างหมดแล้ว ซือลั่วถึงได้รู้สึกว่าตนเองมีชีวิตแล้ว

นางมองไปทางเว่ยฉงซีพร้อมกับสบตาเขากลับไปด้วยสายตาที่เย็นเยียบเช่นเดียวกัน

ทั้งสองประสานสายตากันครู่ใหญ่ ซือลั่วจึงกล่าวด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ออกไป!”

เว่ยฉงซีไม่ขยับเขยื้อนและเขามีท่าทีแข็งกร้าวอย่างเห็นได้ชัด

“ซือลั่ว ข้าไว้ชีวิตเจ้าครั้งนี้เจ้าก็อย่าทำให้ข้าผิดหวังล่ะ มิเช่นนั้นเจ้าจะได้ตายจริงๆ”

เมื่อเว่ยฉงซีกล่าวจบก็จากไปทันที

ซือลั่วเอนลงบนเตียงด้วยใจที่ระส่ำระส่ายเป็นร้อยเป็นพันครั้ง เมื่อยามที่ดวงตะวันสว่างจนเต็มที่จู่ ๆ นางก็หัวเราะอย่างกะทันหัน

นึกแล้วเชียวว่าผู้ชายหน้าก็ไว้ใจไม่ได้ทั้งนั้น คนที่เจ้าสามารถพึ่งพาได้มีเพียงแค่ตัวเองเท่านั้น

เมื่อดวงตะวันขึ้นมาตรงกลางศีรษะ ซือลั่วก็ออกมาจากห้อง เว่ยฉงซีกำลังอาบแดดอยู่ ตอนนี้เขาอาบแดดจนคล้ำขึ้นไม่น้อย ซือลั่วไปทำกับข้าวที่ครัวราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นทั้งสองคนก็กินข้าว ทั้งโต๊ะเงียบงันมีเพียงแต่เสียงตะเกียบกระทบกับชามเท่านั้น

หลังกินอาหารเสร็จ ซือลั่วก็กล่าวว่า "ประเดี๋ยวข้าจะไปหาผู้ดูแลร้านเหยาเพื่อหารือเรื่องการร่วมลงทุนที่ร้านเหยาจี้ ของที่ควรเป็นของข้าก็ต้องเป็นของข้า ข้าจะไม่หยิบเกินไปแม้แต่ส่วนเดียว และก็จะไม่ต้องการน้อยไปสักส่วน ข้าจะช่วยเหลือท่านอย่างสุดกำลัง แต่ขอร้องท่านอ๋องน้อยเว่ย ในอนาคตยามที่บรรลุผลสำเร็จแล้วได้โปรดมอบทางรอดสายหนึ่งให้แก่ข้าด้วย”

เมื่อซือลั่วกล่าวจบด้วยความสงบก็ไม่พูดสิ่งใดอีกและรอคำตอบจากเว่ยฉงซี

หลังจากนั้นไม่นานเว่ยฉงซีก็หัวเราะออกมาออย่างกะทันหัน

ซือลั่วเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความประหลาดใจ

“โกรธหรือ” จู่ๆ เว่ยฉงซีก็ถามขึ้นมา

ซือลั่วขมวดคิ้ว ไม่เพียงแต่โกรธเท่านั้น อีกนิดเดียวเขาก็เกือบจะบีบคอนางจนตายแล้ว แต่ไอ้สารเลวนี่ยังจะหัวเราะออกมาได้อีก

“เว่ยฉงซี เจ้ามันเป็นคนอกตัญญูเลี้ยงไม่เชื่อง!” ซือลั่วพูดขึ้นทันที

เว่ยฉงซีไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ เขากวาดตามองไปรอบลานบ้าน จากนั้นจึงกล่าวว่า “ซือลั่วอย่ามาต่อรองเงื่อนไขกับข้า เพราะเจ้าไม่มีคุณสมบัตินั้น พวกเราต่างก็ถูกขังไว้ในนี้ หากต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปก็มีเพียงแค่วิธีนี้เท่านั้น ข้าไม่ใช่ท่านอ๋องน้อยเว่ยตั้งนานแล้ว ตอนนี้ข้าคือเว่ยฉงซีผู้มีความผิด เจ้าเข้าใจไหม”

ซือลั่วมองไปทางเขาอย่างตรงไปตรงมา

เว่ยฉงซีกล่าวอีกครั้ง “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่สู้พวกเรามาเปิดอกคุยกันดีกว่า”

ซือลั่ว พยักหน้า

ทั้งสองเข้าไปในห้องของซือลั่ว เว่ยฉงซีเคาะนิ้วลงบนที่พักแขนของรถเข็นเป็นจังหวะ

หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดว่า "เดิมทีข้าตั้งใจที่จะฆ่าเจ้าในเช้าวันนี้ ในเมื่อเจ้ารู้ความลับของข้าแล้ว ยิ่งไปว่านั้นข้าก็รู้ความลับของเจ้าแล้วเช่นกัน”

"ข้า... ข้ามีความลับอะไร!" ซือลั่วตกใจจนใบหน้าซีดเผือดเล็กน้อย

"ข้าไม่ใช่คนโง่ หลังจากที่คนผู้หนึ่งตกน้ำแล้วเปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง นี่ไม่ใช่ความลับของเจ้าหรอกหรือ”

"ข้า…"

ซือลั่วรู้สึกว่าขณะนี้เขามีท่าทีที่บีบคั้นผู้คนจนนางไร้ความสามารถที่จะโต้เถียงโดยสมบูรณ์

เว่ยฉงซีโบกมือ "ไม่ต้องรีบร้อนอธิบาย ข้ารู้ว่าเจ้าไม่มีทางพูด ถึงอย่างไรพวกเราก็รู้จักกันไม่นาน แต่ทว่า...”

เขาชำเลืองมองซือลั่ว “พวกเราสามารถร่วมมือกันได้ รอจนข้าได้ในสิ่งที่ข้าต้องการแล้ว ข้าอาจจะปล่อยเจ้าไปก็ได้”

“อาจจะ?” ซือลั่วใคร่ครวญถึงคำสองคำนี้

"ซือลั่ว อย่าต่อรองกับข้าได้ไหม” เมื่อเว่ยฉงซีกล่าวจบก็หัวเราะเยาะเย้ยนาง หัวเราะจนนางขนลุกชูชันด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง

“อย่าตระหนกไป ตอนนี้พวกเราลงเรือลำเดียวกันอย่างแท้จริงแล้ว”

จากนั้นเขาก็กลับไปมีท่าทีเฉกเช่นวันก่อนหน้านี้อีกครั้ง ทำให้ซือลั่วตกใจกลัวเหลือทน

“ข้าออกไปก่อนนะ” เมื่อนางกล่าวจบก็ชักเท้าวิ่งหนีไปทันที ราวกับว่าเว่ยฉงซีเป็นหายนะอย่างไรอย่างนั้น

เว่ยฉงซีมองไปยังเบื้องหลังของนาง ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าตนเองทำมากเกินไปหน่อยหรือไม่ ดูเหมือนซือลั่วจะหวาดกลัวไม่น้อยเลยทีเดียว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ ข้าจะเป็นภรรยาขยัน