ครอบครัวเฉินหู่กำลังนั่งกินข้าว กินน้ำแกงไก่และเนื้อไก่อย่างเอร็ดอร่อย แต่จู่ ๆ อาหารที่ทั้งครอบครัวกินกลับไม่อร่อยเหมือนเดิมอีกต่อไป
เฉินเฉียงขมวดคิ้วหนัก พลางกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกเราจะปล่อยให้น้องสามเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ถ้ายังปล่อยไว้ ไม่ช้าไม่นานสมบัติของครอบครัวคงถูกพวกเขาผลาญจนหมด”
เฉินหู่ยามคลุ้มคลั่งนั้นไร้ซึ่งเหตุผลใด ๆ เขาเพียงกินดื่มโดยไม่สนใจใครหน้าไหน เห็นดังนั้น ใจของเฉินเฉียงจึงยิ่งเดือดดาล ครอบครัวยังมิได้แยกเรือน แต่เขากลับฉวยโอกาสสูบกินทรัพย์สมบัติร่วมไปเสียสิ้น
เฉินหลงกัดฟันกรอด เอ่ยด้วยความโกรธเคือง “ข้าคิดว่าเขาคงไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตาอีกต่อไปแล้วกระมัง หากยังเป็นเช่นนี้ ชีวิตเราจะดำเนินต่อไปอย่างไร เขาไม่ยอมทำงาน เอาแต่เสพสุขกินดีอยู่ดีไปวัน ๆ จะมีประโยชน์อันใด!”
เฉินหลงโมโหมากกว่าเฉินเฉียงเสียอีก เมื่อวานเขาถูกตีเสียจนเอวช้ำปูดบวม ยามนี้ยังเจ็บระบมไม่หาย เขาไม่ได้ลิ้มรสอาหารดีๆ ใดๆ เลย แต่เฉินหู่กลับได้ฆ่าไก่กินเนื้อกันสบายใจ เพียงนึกถึงภาพนั้น ความคับแค้นในใจก็พลุ่งพล่าน
พ่อเฉินเองก็เดือดดาลไม่แพ้กัน เขาตบตะเกียบลงบนโต๊ะเสียงดัง ก่อนลุกพรวดขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด “ข้าไม่เชื่อหรอก ว่าเขาจะกล้าท้าทายฟ้าดินได้ถึงเพียงนี้ ข้าจะไปถามเขาให้รู้เรื่อง หากยังไม่รู้จักกลับตัวกลับใจ ก็อย่าหาว่าข้าจะไร้น้ำใจ ถึงขั้นไล่พวกเขาทั้งครอบครัวออกไปให้พ้น”
พ่อเฉินเดินตรงออกไปยังลานบ้าน เฉินเฉียงและเฉินหลงลุกขึ้นตามไปติดๆ
เมื่อถึงลานบ้าน พ่อเฉินยืนหน้าตึงอยู่หน้าเรือนที่เฉินหู่และครอบครัวพักอาศัย พลางตะโกนเสียงกร้าว “เจ้าสาม ออกมาคุยกันให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้!”
เสียงดังสนั่นทำให้เฉินหู่ที่อยู่ภายในเรือนต้องละมือจากสิ่งที่ทำ ขณะที่เฉียนซื่อมองเขาด้วยความเป็นกังวล
เฉินหู่หันไปพยักหน้าให้ภรรยาเป็นเชิงบอกว่าไม่ต้องห่วง จากนั้นคว้าท่อนไม้มากำแน่นในมือก่อนเดินออกไปเผชิญหน้ากับผู้คนในลานบ้าน
สายตาเย็นชาไร้ความยำเกรงของเฉินหู่กวาดมองไปยังบิดาและมารดาของเขาโดยปราศจากคำพูดใด
พ่อเฉินมีสีหน้าเคร่งขรึม ดวงตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธ เขากัดฟันกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ข้าให้โอกาสเจ้า หากเจ้ายอมรับผิดเสียตอนนี้ พวกเราจะถือว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นเพียงสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้น”
“แล้วหลังจากนั้นเล่า? จะให้ข้ากลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนใช่หรือไม่? ครอบครัวข้าต้องแบกงานหนัก ทำงานแสนเหน็ดเหนื่อยทั้งกลางวันและกลางคืนเพื่อพวกท่านอย่างนั้นหรือ?”
เฉินหู่เอ่ยถามกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา
แม้เขาจะพิการ ร่างกายไม่สูงใหญ่เหมือนคนอื่น แต่การทำงานของเขาก็ไม่เคยด้อยไปกว่าเฉินหลงและเฉินเฉียง ของที่เขาแบกหามก็ไม่เคยเบากว่าพวกนั้น ทว่าพวกเขากลับกินอิ่มทุกมื้อ ในขณะที่ครอบครัวของเขาต้องอดมื้อกินมื้อ
เขาไม่ต้องการกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมอีกแล้ว ความพยายามของเขาไม่เคยถูกพ่อแม่ใส่ใจเลยสักครั้ง พวกเขาไม่เคยปฏิบัติต่อเขาในฐานะบุตรชาย ดังนั้น เขาก็ไม่คิดจะเป็นลูกของพวกเขาอีกต่อไป
คำถามกลับของเฉินหู่ทำให้บิดาของเขาเดือดดาลจนแทบระเบิด เขาหัวเราะเย็นพลางเอ่ยเสียงกร้าว “ข้าดูแล้วเจ้ามันดื้อรั้นจนเกินเยียวยา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็อย่าได้โทษว่าข้าจะไร้เยื่อใย ข้าจะทำเหมือนที่ตระกูลซูทำกับซูซานหลาง ตัดเจ้ากับครอบครัวออกจากวงศ์ตระกูลแล้วไล่ออกไปเสีย”
เฉินหู่หัวเราะเยาะในลำคอ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียดสีเย้ยหยัน “เฮอะๆ เพียงเพราะข้าไม่ยอมฟังคำสั่ง ท่านจึงเห็นว่าชะตากรรมของข้าสมควรเป็นเช่นนี้อย่างนั้นหรือ?”
เฉินหู่เหยียดสายตาเย็นชามองพ่อและแม่ของตน รอยยิ้มที่มุมปากฉายแววสมเพช
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยนำโชคของครอบครัวชาวนา