เฉินหู่ยิ้มบางๆ ให้เฉียนซื่อพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “อย่ากังวลไปเลย มากินข้าวกันเถอะ ไก่ตัวนี้เจ้าก็เลี้ยงมากับมือ กินเนื้อไก่ให้เยอะๆ ซดน้ำแกงด้วย”
เขาตั้งใจชดเชยสิ่งที่ครอบครัวต้องอดทนมาตลอดหลายปี แม้จะรู้ดีว่ามื้ออาหารเพียงไม่กี่มื้อนั้นไม่มีทางชดเชยสิ่งที่สูญเสียไปได้ แต่ในช่วงเวลานี้เขาไม่อยากให้ครอบครัวของตนต้องอดอยากหรือถูกกดดันอีก
เฉินหู่คาดหวังว่าพ่อแม่ของเขาอาจอดทนได้นานสักห้าวันหกวัน แต่กลับไม่คิดว่าผ่านไปเพียงแค่สองวัน พวกเขาก็ทนไม่ไหวเสียแล้ว
“ออกไปจากที่นี่เร็วหน่อยก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยก็ดีกว่าอยู่ที่นี่” เขาคิดในใจ
เมื่อไก่ต้มสุกได้ที่ เฉินหู่เรียกเฉินต้านิวและเฉินเอ้อร์นิวมากินให้เต็มที่
ในบรรยากาศเงียบสงบ ไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากปากของทุกคนในครอบครัว พวกเขาต่างตั้งหน้าตั้งตากินเนื้อไก่และซดน้ำแกงจนหมดเกลี้ยง
ไม่ทันไรหลังมื้ออาหารจบลง เฉินหลงและเฉินเฉียงก็กลับมาพร้อมกับผู้ใหญ่บ้านหวางและหัวหน้าตำบล
ผู้ใหญ่บ้านหวางขมวดคิ้วแน่น สีหน้าดูไม่สบอารมณ์ ขณะที่หัวหน้าตำบลพ่อเฒ่าหลี่ก็ดูจริงจังไม่แพ้กัน
พ่อเฉินแม่เฉินออกมาจากเรือนใหญ่ทันทีที่ทั้งสองมาถึง แม่เฉินรีบพูดก่อนใครด้วยน้ำเสียงร้อนรน “ท่านผู้ใหญ่บ้าน ท่านหัวหน้าตำบล พวกท่านต้องช่วยพวกเราจัดการเรื่องนี้ ลูกอกตัญญูเช่นนี้ บ้านเรารับไม่ได้อีกแล้ว เราจะตัดเขาออกจากตระกูล ข้าขอถือเสียว่าไม่เคยให้กำเนิดเดรัจฉานเช่นนี้”
พ่อเฒ่าหลี่หัวหน้าตำบลมองไปยังแม่เฉินหู่ด้วยสายตาเย็นชา ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ “พวกท่านควรคิดให้รอบคอบ การตัดขาดความสัมพันธ์เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น”
พ่อเฉินยืนด้วยท่าทีจริงจัง น้ำเสียงหนักแน่น “พวกเราคิดดีแล้ว เขามันลูกอกตัญญู สั่งสอนไม่ได้ ไม่เพียงไม่ฟังคำอบรมสั่งสอน ยังกล้าถือไม้กระบองใส่พ่อแม่เช่นเรา หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าเห็นว่าไม่มีลูกเช่นนี้เสียยังดีกว่า”
พวกเขาได้ตัดสินใจไว้ตั้งแต่แรกแล้ว หากไม่ใช่เพราะเฉินหู่ยังพอมีประโยชน์อยู่ เขาคงถูกทอดทิ้งไปนานแล้ว สำหรับพ่อแม่ การที่พวกเขามีลูกชายอีกสองคนอยู่แล้ว การขาดเฉินหู่ไปหนึ่งคนก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
ผู้ใหญ่บ้านหวางขมวดคิ้ว สีหน้าหนักอึ้งพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พวกท่านต้องคิดให้ดี หากวันใดเฉินหู่ตั้งตัวได้แล้ว พวกท่านจะเสียใจทีหลัง แต่ตอนนั้นก็อาจไม่มีโอกาสให้แก้ตัวอีกแล้ว”
การที่หมู่บ้านเกิดเรื่องเช่นนี้ถึงสองครั้งติดกันทำให้พ่อเฒ่าหวางปวดหัวไม่น้อย เขารู้สึกว่าสถานการณ์เช่นนี้มันน่าปวดใจนัก
ในขณะนั้น ครอบครัวของเฉินหู่เดินออกมาจากครัว เฉียนซื่ออุ้มลูกชายไว้ในอ้อมอก ขนาบข้างด้วยเฉินต้านิวและเฉินเอ้อร์นิว เฉินหู่ก้าวไปยืนกลางลานบ้านอย่างสงบ ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
กลิ่นหอมของเนื้อที่ลอยออกมาจากครัวยิ่งทำให้แม่เฉินเดือดดาล นางกัดฟันแน่นพลางสาปแช่งเสียงดัง “กินเข้าไปเถอะ กินจนแน่น แล้วสุดท้ายก็ให้พวกเจ้าตายเพราะขี้ไปเลย!”
พ่อเฒ่าหวางถอนหายใจยาว สีหน้าดูปลงตก ก่อนจะกล่าวกับเฉินหู่ด้วยน้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย “เจ้าหู่เอ๋ย อย่าได้วู่วามไปเลย เจ้าก็มีครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบ หากออกจากบ้านนี้ไป เจ้าคิดหรือว่าจะพาครอบครัวรอดไปได้ง่ายๆ?”
เฉินหู่ไม่ได้มีร่างกายแข็งแรงเหมือนซูซานหลาง เขาเป็นคนขาเป๋ เพียงแค่เดินก็เห็นได้ชัด
แม้ว่าชีวิตในบ้านเฉินจะยากลำบาก แต่ที่นี่อย่างน้อยก็ยังมีที่พักพิงคุ้มแดดคุ้มฝน หากต้องออกจากบ้านนี้ไปแล้ว เขาจะไปที่ไหนกัน?
เฉินหู่ยืนนิ่งด้วยสีหน้าเย็นชา ก่อนจะหัวเราะเยาะเบาๆ และเอ่ยกับผู้ใหญ่บ้านหวาง “ท่านผู้ใหญ่บ้าน ท่านดูเสื้อผ้าที่ครอบครัวข้าสวมอยู่สิ หากข้าพาครอบครัวออกจากบ้านนี้ อาจหนาวตายอยู่กลางทางในที่ใดที่หนึ่งก็เป็นได้ แต่แล้วอย่างไรล่ะ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยนำโชคของครอบครัวชาวนา