ดังนั้นจึงไม่มีใครเงยหน้าขึ้นมาเรียกซูซานหลาง
ซูซานหลางหาได้ใส่ใจไม่ ถึงกระนั้นแล้ว เจ้าชุน ลูกชายคนเล็กของพี่ใหญ่กลับโกรธเกรี้ยวขึ้นมา เขาทิ้งมีดตัดหญ้าในมือทิ้ง พลางเอ่ยตะโกนต่อซูซานหลางด้วยความขุ่นข้องว่า “อาสาม เหตุใดอาจึงมิได้ทำงานเล่า พี่ใหญ่กับพี่รองก็เช่นกัน เหตุใดพวกเขาถึงไม่ทำงาน เหตุใดพวกเขาถึงเล่นได้ ส่วนข้ากลับเล่นไม่ได้”
สองวันมานี้ ซูฉงและซูหัวไม่ได้ทำงาน ทั้งสองได้เล่นอยู่เรือนโดยไม่ได้ทำการใด ๆ
ในสายตาของซูชุน การล้างบ่อ และขุดโคลนออกมาก็คือการเล่นสนุก
ซูต้าหลางเดินเข้าไปเพียงไม่กี่ก้าว ตบลูกชายคนเล็กซูชุนเข้าไปหนึ่งฉาด แล้วกล่าวว่า “เจ้าโวยวายสิ่งใด รีบไปตัดหญ้าให้บิดาเสีย มิฉะนั้นเจ้าจะอดกินข้าวอันหอมกรุ่น”
ซูชุนโดนตบไปหนึ่งที ความคับข้องมิอาจพรรณนา เขามิใช่ซูฉงหรือซูหัวที่สามารถอดกลั้นได้ ใบหน้าแดงก่ำด้วยโทสะ อยากร่ำไห้แต่กลับโดนตบอีกที
ซูซานหลางได้ยินเสียงตะโกนจึงหยุดลงชั่วครู่ แต่แล้วก็มิได้หันกลับ เขาเดินจากไป ด้วยในใจนั้นรู้สึกเย็นชาต่อครอบครัวนี้แล้ว
ทั้งบิดาและพี่ชายแท้ ๆ ล้วนมิอยากเอ่ยปากพูดคุยกับเขา กลัวเขาจะหน้าหนาเข้ามาช่วยแล้วขอแบ่งข้าวกระมัง
ซูซานหลางจึงเดินจากไปโดยมิได้เหลียวกลับ ซูชุนยังคงสูดน้ำมูก พลางเอ่ยถามพ่อเฒ่าซูด้วยความไม่ยอมแพ้ว่า “ท่านปู่ ท่านพ่อทุบข้า ข้ามิได้ทำผิดอันใด อาสามมิได้ทำงานเลย”
พ่อเฒ่าซูกล่าวอย่างเข้มงวดว่า “ครอบครัวอาสามแยกออกไปแล้ว จากนี้ไป ในเรือนมิได้มีอาสามอีกแล้ว อย่าได้เอ่ยเรียกเขาอีก จงอยู่ห่างจากเจ้าสองคนโง่นั่นไว้ ปีหน้าปู่จะส่งเจ้าและเจ้าชิงไปสำนักศึกษา อย่าได้พูดคุยกับสองคนนั้น เดี๋ยวจะพากันโง่เสียเปล่า ๆ”
“เจ้ากับเจ้าชิงต้องตั้งใจเล่าเรียนให้ดี อนาคตสอบเข้ารับราชการ สร้างเกียรติยศให้แก่ตระกูลซูของพวกเรา”
พ่อเฒ่าซูฝากความหวังไว้กับหลานชายสองคนอย่างหนักแน่น ตั้งใจจะส่งทั้งสองไปศึกษาเล่าเรียนที่สำนัก
ซูเอ้อหลางดึงบุตรชายที่อยู่ข้าง ๆ คือซูชิง พลางกล่าวว่า “เจ้าชิง จงสาบานต่อท่านปู่เสีย”
ซูชิงยืนตัวตรงในบัดดล แล้วมองไปที่พ่อเฒ่าซูด้วยท่าทางเอาจริงเอาจัง แล้วเอ่ยว่า “ท่านปู่ ข้าขอสาบานว่าจะตั้งใจเล่าเรียนให้ดี มุ่งมั่นสอบเข้ารับราชการให้ได้”
ซูต้าหลางเองก็ไม่อยากยอมแพ้ให้น้องชาย ดึงซูชุนที่ยังคงสูดน้ำมูกอยู่ “เจ้าชุน เจ้าเองก็จงสาบานต่อท่านปู่เถิด”
ซูชุนในใจยังคงโกรธ แต่เมื่อเห็นบิดาทำหน้าขรึม หากมิได้กล่าวคำออกมา ย่อมต้องถูกตี จึงต้องเลียนแบบซูชิงแล้วสาบานตาม
พ่อเฒ่าซูพยักหน้าอย่างพอใจ ยิ้มพลางกล่าวว่า “ดีแล้ว ปู่เชื่อใจพวกเจ้า ไปทำงานกันต่อเถิด”
เมื่อเรือนไร้ซึ่งบ้านสามมาถ่วงรั้ง การทำงานกลับยิ่งเหนื่อยล้าขึ้นกว่าเดิม
สองวันที่ผ่านมาผลงานตกลงอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นในเรือนจึงเหลือเพียงหวังซื่อและหลี่ซื่อทำอาหาร ส่วนคนอื่นล้วนต้องลงไปทำงานในไร่ โดยหลี่ซื่อและโจวซื่อผลัดกันทำอาหารวันละคน
เมื่อคืน หวังซื่อยังได้บ่นกับพ่อเฒ่าซูว่า หากรู้แต่แรก ก็ควรรอให้เก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงเสร็จก่อนแล้วค่อยให้บ้านสามแยกออกไป บ่นไปบ่นมา ไม่วายด่าจ้าวซื่ออีกครั้งที่ดันคลอดลูกในช่วงเวลานี้
ในใจซูเฒ่าก็มิได้สบายใจนัก ช่วงหลายวันมานี้ เขาเฝ้าสังเกตความเคลื่อนไหวทางฝั่งนั้นอยู่เสมอ
เมื่อเห็นซูซานหลางซ่อมหลังคา ตอนนี้เขาสามารถเป็นหัวหน้าครอบครัวได้แล้ว พ่อเฒ่าซูรู้สึกไม่สบายใจนัก
แม้จะรู้สึกไม่สบายใจ แต่ถึงกระนั้น ชีวิตในเรือนยังต้องดำเนินต่อไป การให้บ้านสามแยกออกไปถือเป็นการสลัดภาระทิ้ง ชีวิตในเรือนย่อมจะดีขึ้นเรื่อย ๆ
ซูซานหลางโยนเรื่องการพบเจอกับพ่อแมทิ้งไปจากในหัวอย่างรวดเร็ว เป้าหมายของเขามีเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือการตัดหญ้าป่า
โดยปกติ หลังจากเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงเสร็จ ผู้คนมากมายมักจะตัดหญ้ากลับเรือน เพื่อนำไปซ่อมแซมคอกวัวร่วมกับฟาง ทุกปีช่วงเวลานี้หญ้าป่าจะดีที่สุด และซูซานหลางก็มาได้ทันเวลาพอดี
เขาตัดหญ้าไปแปลงใหญ่ เห็นหมออู๋เดินลงมาจากภูเขา เขาจึงยิ้มทักทายว่า “หมออู๋ ท่านไปเก็บสมุนไพรหรือขอรับ”
หมออู๋เหลือบมองซูซานหลาง เมื่อจำเขาได้แล้ว จึงเดินมานั่งพักข้าง ๆ ซูซานหลาง แล้วเอ่ยถามว่า “ภรรยาเจ้าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
ซูซานหลางกล่าวด้วยความซาบซึ้งใจว่า “นางดีขึ้นมากแล้วขอรับ ช่วงหลายวันนี้นางดื่มยาตลอด สีหน้าก็ดีขึ้นมาก”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยนำโชคของครอบครัวชาวนา