เข้าสู่ระบบผ่าน

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยนำโชคของครอบครัวชาวนา นิยาย บท 17

ในชามนั้นน่าจะมีนกเขาลายอยู่ตัวหนึ่งแน่แท้ จ้าวซื่ออดมิได้ น้ำตาก็พลันเอ่อคลอ เพราะนางเป็นคนเจ้าน้ำตาอยู่แล้ว

จะเศร้าสร้อยหรือรื่นเริง นางก็มักจะหลั่งน้ำตาเสมอ

ซูซานเม่ยตะโกนตอบจากนอกเรือนว่า “ท่านแม่ ข้ามีเนื้อกินแล้ว ข้าไม่เข้ามาดอก”

ซูซานหลางยิ้มพลางเอ่ยว่า “กินเถิดหนา ลูกรักเจ้ามากจริง ๆ พรุ่งนี้ข้าจะไปจัดกับดักใหม่ให้เรียบร้อย ต่อไปคงจะจับได้มากขึ้น ทุกครั้งที่ได้มาเราจะได้เก็บไว้กินกันบ้าง”

จ้าวซื่อมองซูซานหลางแล้วกล่าวเสียงเบา “พ่อของลูก เจ้าก็ต้องกินด้วยนะ”

จ้าวซื่อคีบเนื้อนกเขาลายชิ้นหนึ่งป้อนให้ซูซานหลาง เห็นเขาถอยหนี นางจึงกล่าวว่า “พ่อของลูก หากเจ้าไม่กิน ข้าก็จักไม่กินเช่นกัน”

จ้าวซื่อรู้ดีว่าซูซานหลางยกเนื้อทั้งหมดให้นางและลูกๆ เขาเองคงไม่ยอมดื่มแม้แต่น้ำซุปสักคำ

ทว่านางจะทนได้เยี่ยงไร ในเมื่อพวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกัน

เมื่อเห็นความเด็ดเดี่ยวของจ้าวซื่อ ซูซานหลางจึงมิอาจปฏิเสธได้อีก และจำต้องกินเนื้อชิ้นนั้นลงไป

เนื้อนกเขานั้นหอมกรุ่นจริงแท้ ตุ๋นนานจนกระดูกอ่อนนุ่มละมุน

หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จ ครอบครัวก็ล้างเนื้อล้างตัวแล้วเข้านอน

รุ่งเช้าตรู่วันถัดมา ซูซานหลางตื่นขึ้นมาเตรียมอาหาร เขาปลุกซูซานเม่ยให้ลุกขึ้นมาช่วย

เมื่อจัดเตรียมเสร็จแล้ว ซูซานเม่ยก็กลับไปนอนต่อ

ซูซานหลางเดินเข้าไปในเรือน และเห็นจ้าวซื่อตื่นอยู่ ราวกับรู้ว่าเขาจะออกเดินทาง นางจึงเอ่ยกำชับอย่างอ่อนโยนว่า “พ่อของลูก ข้าก็ไม่ค่อยสันทัดเรื่องค้าขายดอก แต่ก่อนเคยได้ยินพี่สะใภ้ใหญ่กับพี่สะใภ้รองพูดว่า การค้าขายนั้นควรเทียบราคากับร้านอื่นสักสองสามที่ เจ้าจงลองไปถามดูหลายๆ เจ้าเถิด”

ยามนี้ฤดูหนาวกำลังใกล้เข้ามา อากาศจะเย็นลงเรื่อยๆ จ้าวซื่อจึงหวังเพียงว่า ซูซานหลางจะสามารถขายของได้มากพอให้ได้เงินกลับมา

ซูซานหลางเองก็รู้สึกประหม่าอยู่บ้าง แต่เขายิ้มให้จ้าวซื่อพลางกล่าวว่า “แม่ของลูก เจ้าอย่าได้เป็นกังวล ข้ารู้วิธีจัดการดีแล้ว ข้าจะรีบไปเดี๋ยวนี้ เจ้าคอยอยู่บ้าน หากมีสิ่งใดก็เรียกซานเม่ย เจ้าฉง และเจ้าหัวเถิด พวกเขาล้วนเชื่อฟัง”

จ้าวซื่อพยักหน้ารับ

ซูซานหลางไม่อยากให้จ้าวซื่อต้องกังวลมากเกินไป เขาจึงมิได้ชักช้า จัดวางสัตว์ที่จับได้ไว้ด้านล่าง ส่วนบนสุดวางเกาลัดป่าหนักกว่าสิบชั่งลงไป แล้วแบกตะกร้าออกจากเรือน

จ้าวซื่อมองตามหลังซูซานหลางขณะเดินออกไป นางถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยอธิษฐานในใจ ขอให้ฟ้าดินเมตตาครอบครัวของนาง

ซูเสี่ยวลู่หาวเบาๆ พลางส่งใจอธิษฐาน ขอให้บิดามีโชคลาภ

เมื่อซูซานหลางแบกตะกร้าออกจากหมู่บ้าน ท้องฟ้ากำลังเริ่มสาง ผู้คนในหมู่บ้านยังมิได้ตื่น เขาหันไปมองทิศทางบ้านด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย

เพียงมองแค่แวบเดียว เขาก็ตั้งใจเดินตรงไปข้างหน้า เมืองที่ใกล้หมู่บ้านที่สุดคือเมืองหยางเจี่ยว ครานี้ซูซานหลางตั้งใจจะเดินทางไปเมืองหยางเจี่ยวเพื่อขายสัตว์ป่าและเกาลัดป่าที่หาได้

จากหมู่บ้านไปยังเมืองใช้เวลาเดินทางราวหนึ่งชั่วยาม เมื่อซูซานหลางมาถึงเมืองจึงได้รู้ว่าการเข้าเมืองต้องเสียค่าเข้าเป็นเงินหนึ่งอีแปะ

หากไม่มีเงิน ก็สามารถใช้สิ่งของแลกเปลี่ยนหรือจดชื่อไว้ก่อน เมืองหยางเจี่ยวนั้นมีแม่น้ำสายใหญ่ขวางกั้นอยู่ ทำให้ทางเข้าออกมีเพียงเส้นทางเดียว หากคิดจะหลบเลี่ยงค่าใช้จ่ายก็ต้องอ้อมข้ามเขาไป

การข้ามเขานั้นเต็มไปด้วยพิษภัย ทั้งแมลงและงูร้าย หากโดนกัดเข้า อาจถึงแก่ชีวิตได้ ดังนั้นเจ้าหน้าที่รักษาประตูเมืองจึงมิได้กังวลว่าใครจะหลบเลี่ยงค่าเข้าเมือง

เมื่อถึงคราซูซานหลาง เขาจึงเลียนแบบน้ำเสียงของผู้อื่นแล้วเอ่ยว่า “ท่านขุนนาง ข้าเป็นชาวบ้านจากชนบท นำของป่ามาขาย ตอนนี้ข้ามิได้พกเงินมาด้วย ขอให้จดชื่อข้าไว้ก่อนได้หรือไม่ แล้วเมื่อข้าขายของเสร็จตอนออกจะชำระให้”

เจ้าหน้าที่ผู้รักษาประตูเป็นชายวัยกลางคน เขามองซูซานหลางครู่หนึ่งแล้วถามอย่างราบเรียบโดยมิได้ทำให้ลำบากใจ “เจ้าจะขายอะไรหรือ?”

พ่อบ้านซุนยกมือขึ้นปิดจมูก พลางโบกมือ ไล่สายตากวาดมองรอบตัวแล้วกล่าวว่า “ถอยออกไปให้ห่างหน่อย หากทำให้เสื้อข้าเปื้อน เจ้าจะต้องชดใช้!”

ผู้คนพากันถอยไปคนละก้าว แต่สายตายังจับจ้องมองพ่อบ้านซุนด้วยความหวัง

ซูซานหลางเห็นดังนั้นจึงนึกได้ว่าชายผู้นี้เป็นพ่อบ้านจากคหบดีใหญ่ที่ออกมาซื้อของ แต่ด้วยฝูงชนที่ล้อมรอบ เขาจึงไม่อาจเข้าใกล้ ได้แต่ยืนรออยู่ห่างๆ อย่างนอบน้อม

พ่อบ้านซุนมิได้เลือกของจากใคร เพียงเดินตรงไปด้านหน้า คนที่ล้อมอยู่จึงถอยเปิดทางให้

เมื่อผู้คนพากันถอยออก พ่อบ้านซุนก็มองเห็นกระต่ายป่าที่ซูซานหลางวางไว้บนพื้น ดูสดใหม่ไร้ร่องรอยเหี่ยวเฉา เขาหรี่ตาเล็กน้อยแล้วเดินเข้าไปพลางกล่าวว่า “ของพวกนี้ ข้าจะซื้อทั้งหมด แบกตามข้ามาเถิด”

ซูซานหลางดวงใจเอ่อล้นด้วยความยินดี ทว่าปากกลับพูดอย่างตะกุกตะกักด้วยความตื่นเต้น รีบชักชวนท่านพ่อบ้านว่า “พ่อบ้าน เกาลัดป่าของข้านี้สดใหม่ยิ่งนัก แห้งพอเหมาะ หวานฉ่ำเชียวขอรับ”

ว่าแล้ว ซูซานหลางก็เปิดถุงป่านที่หอบมาข้างกาย เผยให้ท่านพ่อบ้านได้เห็นเกาลัดป่าที่อยู่ภายใน

พ่อบ้านซุนพินิจดูแล้วกล่าวว่า “มิเลวเลยหนา เป็นของหายากจริงๆ ซื้อไปให้คุณหนูลองลิ้มชิมรส ก็ดีไม่น้อย”

เมื่อซื้อของจากซูซานหลางแล้ว พ่อบ้านก็หาได้เหลือบแลพ่อค้าอื่นอีก เพียงกล่าวสั้นๆ ว่าไปเถิด แล้วพลันหมุนตัวกลับ

ซูซานหลางยิ้มปรีดา รีบสะพายถุงป่านขึ้นหลังติดตามไป แม้นจะถูกสายตาผู้คนมองด้วยความริษยา เขาก็มิได้ใส่ใจ เพราะรู้แจ้งแก่ใจดีว่าการมาของตนในวันนี้ได้บดบังโชควาสนาของผู้อื่นอยู่บ้าง

ทว่านี่หาใช่เรื่องสำคัญไม่ หลังจากพ่อบ้านจากไป ไม่นานก็มีผู้คนอื่นแวะเวียนเข้ามาสอบถาม

เหล่าผู้ที่มิอาจขายสินค้าของตนได้ ก็ละวางความริษยา พลันทำนอบน้อมเปลี่ยนเป็นสีหน้ายิ้มแย้ม รีบนำพาสินค้าของตนมานำเสนอต่อผู้ซื้ออย่างเอาใจใส่…

ซูซานหลางติดตามพ่อบ้านออกจากย่านตลาดที่จอแจ จนมาถึงประตูหลังของจวนใหญ่ เมื่อได้เห็นกำแพงอิฐเขียว หลังคากระเบื้องงามสง่า เขาก็อดมิได้ที่จะทอดถอนใจด้วยความพิศวง ครั้นแล้วจึงก้าวตามท่านพ่อบ้านเข้าสู่ประตูหลัง พลันท่านพ่อบ้านเอ่ยขึ้นว่า “แลดูเจ้าแปลกหน้าอยู่ไม่น้อย หนนี้คงเป็นครั้งแรกที่เจ้ามาเยือนเมืองนี้กระมัง”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยนำโชคของครอบครัวชาวนา