ไม่กี่วัน ซูซานเม่ยก็เข้าใจนิสัยของซูเสี่ยวลู่ดีแล้ว
ถ้าร้องไห้แล้วไม่ใช่เพราะหิวหรือไม่ได้ถ่าย เช่นนั้นหมายถึงอยากออกไปเดินเล่น
ซูซานเม่ยสังเกตเห็นว่าซูเสี่ยวลู่ชอบดูถังเก็บน้ำที่บ้านมาก ทุกครั้งที่ซูเสี่ยวลู่ร้องไห้งอแง จะต้องพาไปเล่นที่ข้างโอ่งน้ำถังเก็บน้ำ
“เจ้าสี่ เจ้าไยจึงชอบถังเก็บน้ำนี้นักเล่า มันก็ไม่เห็นจะมีอะไรน่าดูเลย”
ซูซานเม่ยรู้สึกไม่เข้าใจอย่างยิ่ง
ซูเสี่ยวลู่ขยับมือน้อย ๆ ของนาง นางหาได้ชอบถังเก็บน้ำไม่ แต่นางเพียงอยากจะแหย่นิ้วลงไป ให้น้ำพุวิญญาณจากมิติลับไหลลงถังเก็บน้ำบ้าง คนในครอบครัวได้ดื่มน้ำนี้ ย่อมเป็นคุณไม่มีโทษ
แต่น่าเสียดายที่ซูซานเม่ยไม่เข้าใจความหมายของนาง ทุกครั้งก็แค่ยืนอุ้มอยู่ข้างโอ่งเพียงครู่เดียว
“เอ๊ะ”
ซูซานเม่ยก้มลงมองถังเก็บน้ำ เห็นเงาสะท้อนของตนอยู่ในน้ำ นางรู้สึกแปลกใจยิ่งนัก จึงย่อตัวลงไปดูใกล้ ๆ
นางหาได้สังเกตไม่ว่า ในที่สุดซูเสี่ยวลู่ก็เอาปลายนิ้วแตะลงไปในถังเก็บน้ำแล้ว
น้ำพุวิญญาณจากห้วงมิติของนางได้ไหลเข้าสู่ถังเก็บน้ำทันที
“ที่แท้เจ้าสี่อยากจะดูเงาของตนเองหรือ เจ้าสี่ช่างฉลาดยิ่งนัก แต่เจ้ายังเด็กเกินไป อย่าเข้าไปใกล้มากนักนะ ถังเก็บน้ำนั้นอันตรายมาก”
พูดจบ ซูซานเม่ยก็อุ้มซูเสี่ยวลู่ลุกขึ้นยืน
ซูเสี่ยวลู่ก็ชักมือกลับมา สำเร็จแล้ว ไม่มองก็ไม่มองเถิด
ซูซานเม่ยอุ้มซูเสี่ยวลู่ไปยังลานบ้านเพื่ออาบแสงตะวัน แสงแดดยามต้นฤดูหนาวสาดส่องลงมาอบอุ่นยิ่งนัก ซูเสี่ยวลู่ชอบอาบแดดเป็นยิ่งนัก
ไม่นานนัก นางก็รู้สึกถึงเงาครึ้ม ซูเสี่ยวลู่คิดว่าเมฆมาบังแสงอาทิตย์ จึงลืมตาขึ้นมองดู ก็พบว่าพี่ชายใหญ่และพี่ชายรองของนางยืนมองด้วยท่าทีใคร่รู้ดั่งเด็กน้อย
“เจ้าสี่ ข้าคือพี่ชายใหญ่ของเจ้า”
ซูฉงกล่าว
“เจ้าสี่ ข้าคือพี่ชายรองของเจ้า”
ซูหัวกล่าว
ซูเสี่ยวลู่ยิ้มให้ทั้งสองคน ทำเอาซูฉงและซูหัวหัวเราะออกมา
“เจ้าสี่ช่างงามเหลือเกิน เจ้าสี่คงเป็นเทพเซียนแน่แท้”
ซูฉงเอ่ยคำชมจากใจ เขาไม่เคยเห็นผู้ใดงามเกินกว่าเจ้าสี่ของเขาเลย ด้วยเหตุนี้เจ้าสี่ของเขาจึงต้องเป็นเทพเซียนเป็นแน่
ซูหัวพยักหน้าเห็นด้วยพลางกล่าวว่า “เทพเซียนเจ้าสี่ ฮิฮิ”
ซูซานเม่ยหัวเราะออกมา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “เจ้าสี่มิใช่เซียน นางเป็นลูกที่ท่านแม่คลอดมา เช่นเดียวกับพวกเรา ล้วนเป็นลูกของท่านแม่และท่านพ่อ”
ซูฉงและซูหัวมิอาจเข้าใจในความลึกล้ำนี้ มิได้ใส่ใจจะฟังหรือครุ่นคิด พวกเขายังคงยึดมั่นในความเชื่อของตนว่าเจ้าสี่ที่งามเพียงนี้ ก็คือเทพเซียนอย่างแน่นอน
ซูซานหลางกับจ้าวซื่อที่อยู่รอบลานบ้านได้ยินดังนั้น ก็หันมายิ้มให้กัน
ซูซานหลางกล่าวว่า “แม่ บางทีเจ้าสี่ของเราอาจจะเป็นเทพเซียนจริงๆ ก็เป็นได้”
จ้าวซื่อยิ้มอย่างจนใจแล้วกล่าวว่า “พ่อ ลูก ๆ พูดเล่นเจ้าก็เชื่อด้วยหรือ”
ซูซานหลางกล่าวอย่างจริงจังว่า “แม่ ข้าพูดเช่นนี้ย่อมมีเหตุผล เจ้าดูสิ ตอนคลอดเจ้าสี่อันตราย นางก็ร้องไห้ไม่หยุด อีกทั้งซานเม่ยก็มักจะไปซักผ้าอ้อมอยู่ที่นั่น บริเวณนั้นแมลงชุกชุม หญ้าก็เขียวชอุ่ม ทำให้สัตว์เลี้ยงของเราเจริญงอกงาม ข้าจึงเชื่อว่าเจ้าสี่ของเราต้องเป็นเทพเซียนมาเกิด”
ซูซานหลางเชื่อมั่นอย่างแท้จริง เขารู้สึกว่าตั้งแต่ลูกสาวคนนี้มา บ้านของเขาก็ค่อยๆ ดีขึ้นทีละน้อย ไม่มีความลำบากเรื่องอาหารการกินอีก
จ้าวซื่อยิ้มพลางกล่าวว่า “หวังว่าเจ้าสี่จะเป็นผู้มีวาสนา”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยนำโชคของครอบครัวชาวนา