ซูต้าหลางกับซูเอ้อร์หลางรีบพยักหน้าทันที
ซูต้าหลางพูดขึ้นว่า “ท่านพ่อ อย่างไรเขาก็เป็นน้องชายแท้ๆ ของข้า เจ้าฉงกับเจ้าหวาก็เป็นหลานชายของพวกเรา ตอนนี้อากาศเริ่มหนาวแล้ว ให้พวกเขากลับมาเถอะขอรับ”
ซูเอ้อร์หลางก็เสริมว่า “ใช่แล้วท่านพ่อ พวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน อย่างไรสายเลือดย่อมข้นกว่าน้ำ ให้พวกเขากลับมาจะดีกว่า”
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องความขยันและกรำงานหนักของซูซานหลาง แม้แต่เจ้าฉงกับเจ้าหวาที่ถึงจะดูโง่งม สั่งให้ทำอะไรก็ทำตาม แต่พวกเขาก็มีเรี่ยวแรงเหนือกว่าบุตรชายของพวกเขาเอง ทว่าบุตรชายของพวกเขาเองกลับต่างออกไป
พอเหนื่อยก็อิดออดไม่ยอมทำงาน บางครั้งยังเถียงกลับหรือไม่เชื่อฟัง มิหนำซ้ำยังทำงานไม่ได้ดีเท่าเจ้าฉงกับเจ้าหวาอีก ที่บ้านนี้ ถ้าขาดบ้านสามไปก็แทบจะไม่ได้เรื่อง ขาดบ้านสามไป ทุกคนก็แทบจะเหนื่อยตายกันหมด ควรให้พวกเขากลับมาเสีย
พ่อเฒ่าซูพยักหน้าเบาๆ “ที่พวกเจ้าพูดก็มีเหตุผล เช่นนั้นเอาอย่างนี้ หลี่ซื่อกับโจวซื่อไปพูดสักหน บอกให้ซานหลางกลับมาก้มหน้าขอโทษ แล้วข้าจะยอมให้พวกเขาเข้าบ้านมา ครอบครัวเราจะได้ใช้ชีวิตเหมือนเดิม ทุกอย่างเป็นไปตามปกติ”
“เจ้าค่ะท่านพ่อ เดี๋ยวข้ากับน้องสะใภ้รองจะไปเดี๋ยวนี้เลย”
หลี่ซื่อตอบรับอย่างรวดเร็ว ก่อนจะดึงตัวโจวซื่อให้ออกไปด้วยกัน
หวังซื่อยังคงสาปแช่งอยู่ในห้อง เสียงด่าของนางทำให้ทุกคนในห้องถึงกับขมวดคิ้ว พวกบุรุษไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยว ส่วนเหล่าเด็กชายเองก็วิ่งออกไปเล่นข้างนอกกันหมดแล้ว
ขณะที่โจวซื่อเดินออกไป นางก็พาบุตรสาววัยสามขวบอย่างซูอวี้ฟางติดไปด้วย นางไม่อยากให้บุตรสาวต้องอยู่ในบ้านแล้วโดนหวังซื่อตีเอา
ในบ้านไม่มีสตรีคนอื่นอยู่ ดังนั้นไม่ว่าหวังซื่อจะด่าอย่างไร ก็ไม่มีใครสนใจนาง
เมื่อโจวซื่อกับหลี่ซื่อเดินออกไปด้วยกัน โจวซื่อก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านคิดว่าน้องสะใภ้สามจะยอมกลับมาหรือไม่?”
โจวซื่อนึกแล้วก็เริ่มกังวล เมื่อขาดบ้านสามไป ชีวิตของพวกนางก็ยากลำบาก ในทางกลับกัน บ้านสามที่แยกออกไปจากพวกเขา บางทีอาจจะรู้สึกว่าชีวิตดีขึ้นก็เป็นได้
น้ำที่สาดออกไปแล้ว จะเก็บกลับมาได้ง่ายๆ เช่นนั้นหรือ
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ในหมู่บ้านก็พูดกันทั่วว่าซูซานหลางไปล่าสัตว์ไม่เคยกลับมือเปล่า ชีวิตก็เริ่มดีขึ้น และยังหาเงินได้ด้วย โจวซื่อคิดว่าหากเป็นตัวนางเอง นางก็คงไม่อยากกลับมาอีกแน่
หลี่ซื่อยิ้มพลางกล่าวว่า “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าน้องสามกับครอบครัวเขาจะยอมกลับมารึเปล่า ข้าแค่รู้ว่านี่เป็นคำสั่งของท่านพ่อ ข้าก็เป็นแค่คนส่งข่าว”
เรื่องจะยอมกลับมาหรือไม่เป็นเรื่องของบ้านสาม ต่อให้จะทะเลาะหรือก่อเรื่องวุ่นวาย ก็ไม่เกี่ยวกับนาง
ขอแค่บรรลุเป้าหมายก็พอ ทุกคนอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน เจอหน้ากันบ่อย ได้ยินคนพูดว่าตอนนี้จ้าวซื่อสบายแล้ว หลี่ซื่อก็อดหงุดหงิดในใจไม่ได้ ทำไมนางถึงต้องมาทนโดนหวังซื่อต่อว่าอยู่ที่บ้านด้วยเล่า?”
สองคนนี้มาเยี่ยมเยือนกะทันหัน แน่นอนว่าย่อมไม่มีเรื่องดี
ความทรงจำของซูเสี่ยวลู่ที่มีต่อหลี่ซื่อ ยังคงติดอยู่ที่ตอนจ้าวซื่อคลอดบุตร ขณะที่กำลังเศร้าโศก หลี่ซื่อก็มาบอกข่าวด้วยความยินดีว่าพวกนางถูกขับออกจากตระกูลแล้ว การกระทำเช่นนี้เพื่อกระตุ้นจ้าวซื่อ ราวกับกลัวว่าจ้าวซื่อจะมีชีวิตยืนยาวเกินไป เพียงเพราะเหตุนี้ ซูเสี่ยวลู่จึงไม่มีวันคิดว่าหลี่ซื่อเป็นคนดี
ซูซานเม่ยที่เดิมอยู่ในเล้าไก่ ก็วิ่งเข้ามาในเรือนเช่นกัน พลางมองจ้าวซื่อด้วยท่าทีตื่นกลัว แล้วพูดเสียงแผ่วเบาว่า "ท่านแม่เจ้าคะ"
จ้าวซื่อมองซูซานเม่ยด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว จ้าวซื่อดึงตัวนางมาแล้วลูบผมของซูซานเม่ยพลางกล่าวว่า “ซานเม่ยอย่ากลัว แม่อยู่นี่”
จ้าวซื่อตบซูเสี่ยวลู่เบาๆ แล้วหลุบตาลงเพื่อไม่ให้ซูซานเม่ยเห็นแววเป็นกังวลในดวงตาของนาง
แต่จ้าวซื่อไม่รู้ตัวว่าซูเสี่ยวลู่มองเห็นอย่างชัดเจน
จ้าวซื่อถอนหายใจ พลางอุ้มซูเสี่ยวลู่แล้วลุกขึ้นยืน บอกกับซูซานเม่ยว่า “ซานเม่ยไปจับแมลงข้างนอกเถอะ อาสะใภ้ใหญ่กับอาสะใภ้รองของเจ้าจะดูแลเอง”
ซูซานเม่ยรู้สึกกลัวอยู่บ้าง ไม่แน่ใจว่าควรฟังคำของจ้าวซื่อหรือควรอยู่เป็นเพื่อนจ้าวซื่อดี
จ้าวซื่อลูบผมของซูซานเม่ย พลางยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร พวกนางไม่กล้าทำอะไรแม่หรอก อย่าห่วงเลย”

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยนำโชคของครอบครัวชาวนา