โจวซื่อกล่าวพลางเอื้อมมือหมายจะอุ้มตัวซูเสี่ยวลู่ ครั้นมือยังมิทันได้ต้องกายซูเสี่ยวลู่ ซูเสี่ยวลู่ก็ร้องไห้เสียงดังลั่นขึ้นมาเสียก่อน
“แว้—อุแว้—”
ซูเสี่ยวลู่วัยเกือบสามเดือน แข็งแรงสมบูรณ์ยิ่งนัก ร่างกายกำยำกว่าทารกทั่วไป ครานี้เมื่อร้องไห้ ก็เปรียบประดุจพายุฝนฟ้าคะนอง ทั้งรุนแรง ทั้งกึกก้อง จนหลี่ซื่อกับโจวซื่อพากันยกมือขึ้นปิดหูแทบจะพร้อมเพรียงกัน
เสียงนี้ช่างสุดจะทานทนได้เลยจริง ๆ แต่โจวซื่อกลับหาได้รู้สึกรำคาญไม่ นางแสดงท่าทีเวทนา โอบอุ้มซูเสี่ยวลู่พลางปลอบโยนด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า “เสี่ยวซื่อเม่ยจ๋า ซื่อเม่ยอย่าร้องเลย”
ซูเสี่ยวลู่หยุดร้องไห้ในเวลาอันรวดเร็ว
โจวซื่อก็สิ้นปรารถนาใคร่จะอุ้ม ด้วยเสียงร่ำไห้เมื่อครู่ ฟังแล้วเพียงอยากตีให้ตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด
หลี่ซื่อแคะหูพลางกล่าวว่า “น้องสะใภ้สาม เรื่องนี้ไว้รอให้น้องสามกลับมา แล้วค่อยพูดกับเขาก็แล้วกัน อย่างไรเสีย เราทั้งหมดก็เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน กระดูกหักยังมีเส้นเอ็นเชื่อมประสานไว้ได้อยู ท่านพ่อให้ข้ากับน้องสะใภ้รองมาแจ้งข่าวแก่เจ้า ก็ขอให้เจ้ายอมอ่อนข้อลงบ้าง เรื่องนี้จะได้ยุติไปเสียที ข้าได้นำคำพูดมาแจ้งแล้ว เช่นนั้นพวกข้าขอตัวกลับก่อน”
คำพูดที่ควรกล่าวก็กล่าวไปแล้ว ความลำบากหาได้ตกอยู่กับนางไม่
หลี่ซื่อก็หมายจะขอตัวกลับแล้ว
โจวซื่อที่หูยังอื้ออยู่เพราะเสียงร้องของซูเสี่ยวลู่เมื่อครู่นั้น ครั้นเห็นดังนั้นก็กว่าขึ้นว่า “น้องสะใภ้สาม พี่สะใภ้รองจะรอเจ้ากลับเรือนนะ”
กล่าวจบ หลี่ซื่อและโจวซื่อก็เปิดประตูออกไป
เมื่อเห็นซูซานเม่ยนั่งยองอยู่ข้างประตู หลี่ซื่อก็เผยยิ้มพลางกล่าวว่า “ซานเม่ยเอ๋ย อาสะใภ้ใหญ่คิดถึงเจ้าเหลือเกิน รีบกลับเรือนเถิดนะ”
โจวซื่อมองดูเสื้อผ้าฝ้ายใหม่บนร่างของซูซานเม่ย ในแววตาฉายความครุ่นคิด พลางกล่าวกับซูซานเม่ยว่า “ซานเม่ย อาสะใภ้รองก็คิดถึงเจ้ากับซื่อเม่ยเช่นกันนะ ครั้นเมื่อกลับเรือน ข้าจะให้พี่สาวสามของเจ้าช่วยดูแลซื่อเม่ยร่วมกับเจ้า”
กล่าวจบ โจวซื่อก็จูงมือซูอวี้ฟางแล้วพากันจากไป
ก่อนจะไป ซูอวี้ฟางยังหันกลับมามองเสื้อผ้าตัวใหม่บนกายของซูซานเม่ยอีกคราหนึ่ง
ซูซานเม่ยได้แต่ปาดน้ำตาออกโดยมิอาจห้ามใจได้
จ้าวซื่อมิรู้ว่ายืนอยู่ตรงประตูนั้นแต่เมื่อใด ครั้นเห็นภาพดังกล่าวก็ให้ปวดใจดั่งใจจะขาด นางเอ่ยขึ้นเบา ๆ ว่า “ซานเม่ย เข้ามาในเรือนเถิด”
ซูซานเม่ยเดินตามเข้าไปในเรือน ครั้นพอเข้าไปถึง นางก็ร้องไห้พลางเอ่ยถามว่า “ท่านแม่ พี่สาวสามบอกว่าพวกเราต้องกลับไปอยู่เรือนนั้นอีกหรือเจ้าคะ? แล้วนางยังบอกอีกว่าข้าต้องยกเสื้อผ้าตัวใหม่ให้แก่นาง เรื่องนี้เป็นความจริงหรือไม่เจ้าคะ?”
ยังมิทันที่จ้าวซื่อจะได้เอ่ยตอบ ซูซานเม่ยก็สะอื้นพลางกล่าวว่า “ท่านแม่ ข้าไม่อยากกลับไป... กลับไปแล้วทั้งหิวทั้งหนาว ท่านย่ายังตีข้า ท่านย่าก็ไม่รักซื่อเม่ยด้วย ท่านแม่ เราไม่กลับได้หรือไม่? ตอนนี้พวกเราก็อยู่กันดีแล้วมิใช่หรือ?”
ซูซานเม่ยเป็นเด็กว่าง่ายรู้ความ แต่ถึงอย่างไรนางก็มิใช่ผู้ใหญ่ นางมิอาจเข้าใจได้ว่าผู้ใหญ่ลำบากใจด้วยเหตุใด ไยเล่าจ้าวซื่อจึงมิเอ่ยปฏิเสธออกมา
จ้าวซื่อมองดูซูซานเม่ย น้ำตาก็พลันไหลริน นางโอบกอดซูซานเม่ยไว้พลางร่ำไห้เงียบ ๆ มิอาจเอื้อนเอ่ยคำใดออกมาได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยนำโชคของครอบครัวชาวนา