ซูซานหลางฟื้นจากอาการป่วยจนร่างกายแข็งแรงดีแล้ว แต่เขาไม่เอ่ยถึงเรื่องการจากลา และตาเฒ่าอู๋เองก็ไม่ได้คิดจะขับไล่
ตาเฒ่าอู๋หาได้มีเวลาว่างมาสนใจครอบครัวซูซานหลาง พวกเขาอยู่กันอย่างสงบ ไม่ส่งเสียงเอะอะ ซูฉงกับซูหวาเป็นเด็กเชื่อฟัง อีกทั้งยังช่วยแบ่งเบางานต่าง ๆ ได้ ส่วนจ้าวซื่อก็ขยันขันแข็ง ซักผ้าหุงหาอาหารอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง สำหรับตาเฒ่าอู๋แล้ว ครอบครัวนี้จะอยู่หรือไปก็หาใช่เรื่องสำคัญ
แต่เขาย่อมรู้ดีว่า การเป็นคนดีนั้นมิใช่เรื่องง่าย จะให้เขาเอ่ยปากรั้งไว้ ย่อมเป็นไปไม่ได้ ครอบครัวของซูซานหลางจะอยู่หรือไป ย่อมขึ้นอยู่กับพวกเขาเอง หากจะไป ตาเฒ่าอู๋ก็ไม่คิดจะรั้งไว้ หากจะอยู่ ตาเฒ่าอู๋ก็หาได้คิดจะไล่ หากจำเป็นต้องขับไล่จริง ๆ ก็คงต้องรอให้ผ่านพ้นฤดูหนาวนี้ไปเสียก่อนเท่านั้น
เขาคิดว่าซูซานหลางคงรู้ดีว่าเสือร้ายมิใช่สิ่งที่จะล่าได้โดยง่าย ความคิดเช่นนั้นคงมลายหายไปแล้ว ทว่าเรื่องไม่คาดฝันกลับเกิดขึ้นในวันที่สิบเก้าของเดือนสิบเอ็ด
เช้าวันนั้น ตาเฒ่าอู๋ตื่นขึ้นมา และเดินไปที่ห้องครัว ทว่าพบเพียงซูซานเม่ยกำลังง่วนอยู่กับงาน วางสาวน้อยไว้บนม้านั่งข้างเตาไฟ ร่างเล็กสั่นไหวเล็กน้อย ขณะมือปาดน้ำตาที่ร่วงหล่นพร้อมกับทำงานไปด้วย ตาเฒ่าอู๋เห็นดังนั้นก็อดถามด้วยความสงสัยไม่ได้ “หนูน้อย เจ้าเป็นอะไรไป ร้องไห้ทำไมล่ะ? แล้วพ่อแม่กับพี่ชายทั้งสองไปไหนกัน? ยังไม่ตื่นอีกหรือ?”
ซูซานเม่ยหันมามองเขา ดวงตากลมโตเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา นางสะอื้นไห้พลางเอ่ยว่า “ท่านปู่อู๋... พ่อกับแม่ แล้วก็พี่ชายทั้งสอง... พวกเขาเข้าไปในป่าล่าเสือเจ้าค่ะ ฮือ... ทิ้งข้ากับน้องสี่เอาไว้ที่นี่...”
น้ำตาของซูซานเม่ยยังคงไหลรินไม่หยุด ส่วนตาเฒ่าอู๋กลับยืนตะลึงงันอยู่ชั่วขณะ ราวกับไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
ผ่านไปครู่ใหญ่ ตาเฒ่าอู๋ถึงได้ได้สติกลับคืนมา เขาบ่นพลางกระทืบเท้าอย่างหัวเสียว่า
“ช่างไม่รู้จักกลัวตายกันเสียเลย ข้าไม่ได้ไล่พวกเจ้าสักหน่อย!”
แม้จะเอ่ยออกมาด้วยความโมโห แต่พอหันไปเห็นซูซานเม่ยที่ยังปาดน้ำตาไม่หยุด ความสงสารก็พลันแล่นขึ้นในใจ เขาเอ่ยเสียงห้วนอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “พอเถอะ เจ้าก็อย่าร้องไห้ไปมากกว่านี้เลย ดูแลสาวน้อยคนนี้ให้ดี ข้าจะออกไปดูสักหน่อย ว่าจะตามหาพ่อแม่กับพี่ชายของเจ้ากลับมาได้หรือไม่!”
ตาเฒ่าอู๋ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่า ซูซานหลางจะพาภรรยาและลูก ๆ ติดตามเข้าไปในป่าด้วย เรื่องเช่นนี้มันช่างเหลวไหลสิ้นดี! นี่มันไม่ต่างอะไรกับการเดินเข้าไปหาความตายเลยมิใช่หรือ?
ตาเฒ่าอู๋ไม่รู้ว่าพวกนั้นออกไปตั้งแต่เมื่อใด เพราะทุกคืนเขามักดื่มเหล้าจนเมามาย และหลับสนิท
เขาคิดว่า ในเมื่อเขาไม่เอ่ยปากไล่ ครอบครัวซูซานหลางก็น่าจะรู้ตัวเองดีว่า หากทำหน้าหนาหน่อย ก็อยู่ต่อไปได้โดยไม่ต้องคิดมาก แต่ใครจะไปรู้ว่าพวกเขาจะดื้อรั้นถึงเพียงนี้!
ตาเฒ่าอู๋เองก็ไม่รู้จะเอ่ยปากอย่างไรดี ซูซานหลางมันก็แค่คนหัวดื้อคนหนึ่ง แต่ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว การพูดอะไรตอนนี้ก็หาใช่ประโยชน์อันใดไม่
เมื่อตาเฒ่าอู๋เดินจากไปได้ไม่นาน เสียงร้องไห้สะอื้นของซูซานเม่ยก็ดังขึ้น
ส่วนซูเสี่ยวลู่ แม้ในใจอยากจะร้องไห้ไม่แพ้กัน แต่สุดท้ายนางก็กลั้นเอาไว้ได้ เพียงแต่ในใจภาวนาเงียบ ๆ ให้ซูซานหลางและคนอื่น ๆ ปลอดภัย
เมื่อคืนที่ผ่านมา เวลาล่วงเลยจนดึกดื่น ซูซานหลางแอบลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบ เตรียมตัวจะจากไปโดยไม่ให้ผู้ใดรู้ ทว่าเขายังไม่ทันก้าวลงจากเตียง เสียงของจ้าวซื่อก็ดังขึ้นแผ่วเบา แต่น้ำเสียงแฝงไปด้วยความสะอื้น “พ่อ เจ้าเลิกคิดจะทิ้งข้าไปเพียงลำพัง...”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยนำโชคของครอบครัวชาวนา