ฮองเฮาเองก็ไม่คิดมากนัก รีบเดินทางไปยังห้องทรงพระอักษร ภายในสมองมั่นใจแล้วว่าซ่งรั่วเจินเป็นคนยุยงเรื่องนี้
หากไม่ใช่นาง ด้วยอุปนิสัยสุขุมของจวินถิง ไม่มีวันทำเรื่องวู่วามพรรค์นี้ ยังไม่ต้องพูดว่าทำให้ฝ่าบาทกริ้ว หากเล่าลือออกไปย่อมกลายเป็นเรื่องตลก
ชื่อเสียงที่พยายามสั่งสมมานานหลายปี จะถูกแม่นางคนหนึ่งทำลายกระนั้นหรือ?
ภายในห้องทรงพระอักษร บรรยากาศตึงเครียด
ฉู่จวินถิงรายงานเบาะแสที่ตนเองพบให้ฝ่าบาทรู้
“เจ้าพูดความจริงหรือ?” สีหน้าฝ่าบาทเคร่งขรึม ใบหน้าน่าเกรงขามเจือไอเย็นสายหนึ่ง
ฉู่จวินถิงถือหลักฐานเข้าไป “เสด็จพ่อ ก่อนหน้านี้ยามลูกผ่านเมืองผิงหยางก็เคยได้ยินเรื่องเหล่านี้มาก่อน ตอนนั้นรู้สึกไม่ชอบมาพากล ทว่าเพราะสงครามกำลังดุเดือด จึงทำได้เพียงส่งคนไปสอดแนม”
“ครั้งนี้เกิดอุทกภัยที่แดนใต้ ส่วนเมืองผิงหยางกลับเกิดภัยแล้ง ที่ผ่านมาแจกจ่ายเงินบรรเทาทุกข์ไปแล้ว แต่ได้ยินมาว่าบัดนี้มีผู้ลี้ภัยจำนวนมากกำลังเดินทาง”
“อุทกภัยย่อมโจมตีบ้านเรือน ราษฎร์ออกจากถิ่นฐาน แต่ภัยแล้งไม่เป็นเช่นนั้น ขอเพียงเสบียงอาหารไปถึง ราษฎร์ไม่มีวันยอมทิ้งถิ่นฐานไปอย่างง่ายดาย”
ฮ่องเต้มองหลักฐานแต่ละอย่าง แม้เป็นเพียงส่วนหนึ่ง แต่ก็สามารถมองออกได้
“ครั้งนี้เสด็จพ่อตั้งใจรับหลิงไท่ซื่อกลับเมืองหลวง น่าจะได้รับเบาะแสเฉกเดียวกัน?”
ฉู่จวินถิงช้อนตาขึ้น สาเหตุที่เขาสืบเรื่องนี้ เพราะก่อนหน้านี้เสด็จพ่อเองก็เรียกตัวหลิงไท่ซือกลับเมืองหลวง เขาเชื่อว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ฮ่องเต้สบมองฉู่จวินถิงอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง “หลิงไท่ซืออยู่ภายนอกมาหลายปี ปีนั้นชายแดนมีปัญหามาก ขุนนางที่รับผิดชอบเฝ้าเมืองจัดการดูแลราษฎร์ไม่ได้ นี่จึงทำให้หลิงไท่ซือต้องไปจัดการ”
“บัดนี้สถานการณ์ชายแดนสงบลง เราก็สมควรโยกย้ายพวกเขากลับมา”
สีหน้าฉู่จวินถิงไม่เปลี่ยนไป คล้ายคิดไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเข้ามาในนิยาย ชีวิตนี้ข้าลิขิตเอง