เซวียซื่อตื่นเต้นจนเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาบนจมูกและฝ่ามือ แทบรอไม่ไหวที่จะคุกเข่าแทบเท้าเหลิ่งชิงฮวนพร้อมกับโขกหัวคำนับแล้วเรียกเธอว่านายหญิง
“อิทธิพลของจินซื่อแม้แต่ท่านเสนาบดีก็ยังต้องหลีกทาง แม้ว่าพระนางจะจับเล่ห์เหลี่ยมของจินซื่อได้ เกรงว่าท่านมหาเสนาบดีก็คงจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด”
“ท่านพ่อไม่จำเป็นต้องปกป้องนางไปเสียทุกเรื่อง” เหลิ่งชิงฮวนเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “ข้าออกหน้าต่อกรกับจินซื่อแล้ว ส่วนเจ้าจะสามารถฉวยโอกาสเลื่อนตำแหน่งได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้า”
ความยินดีปรีดาบนใบหน้าของเซวียซื่อนั้นปิดไม่มิด “หากพระชายาต้องการใช้งานอะไรหม่อมฉันจะบุกน้ำลุยไฟทำให้เจ้าค่ะ”
เป็นคนที่เฉลียวฉลาดเสียจริง
“ข้ามีสามเรื่องที่จะมอบหมายให้เจ้า และถือเป็นข้อตกลงระหว่างเรา”
“ขอแค่หม่อมฉันสามารถทำได้ก็จะทุ่มสุดกำลังเจ้าค่ะ”
เหลิ่งชิงฮวนเลิกคิ้วเบาๆ “ข้อแรกบุปผามิอาจผลิบานตลอดกาลฉันใด จันทราก็มิได้กลมทุกคืนวันฉันนั้น ต่อไปไม่ว่าข้าและท่านพี่จะรุ่งโรจน์หรือตกต่ำ เมื่อใดที่ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าหวังว่าเจ้าจะจำน้ำใจครั้งนี้ได้”
“แน่นอนเจ้าค่ะ” เซวียอี๋เหนียงตอบรับ
เหลิ่งชิงฮวนยกยิ้มเบาๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ “ข้อสอง ข้าเข้าใจได้ว่าเจ้าต้องการขึ้นเป็นคุณนายจวนมหาเสนาบดี แต่ว่าอย่าทะเยอทะยานมากเกินไป หวังว่าเจ้าจะรู้จักสงบเสงี่ยม ดูแลเรือนหลังให้ดี อย่าได้ละโมบโลภมาก”
เซวียอี๋เหนียงยกมือขึ้นมาสัญญา “หม่อมฉันเกิดมาต่ำต้อย จะกล้าคิดเช่นนั้นได้อย่างไร? คุณหนูใหญ่วางใจได้เจ้าค่ะ”
เหลิ่งชิงฮวนส่งเสียงตอบรับในลำคอ “อีกข้อก็สำคัญ ข้าจับเล่ห์เหลี่ยมของจินซื่อได้แต่ก็ยังมีหลักฐานไม่เพียงพอที่จะทำให้นางกลับตัวไม่ได้ ข้าต้องการให้เจ้าร่วมมือช่วย”
จวนอ๋องฉี
ดึกแล้วแต่มู่หรงฉียังคงอยู่ในห้องตำรา
การเล่นพิเรนทร์ของเหลิ่งชิงฮวนนำให้ทหารอารักขาต่างลำบากใจ หลังจากที่เจอเรื่องวุ่นวายมาทั้งวัน พอได้ชำระล้างร่างกายและใช้เครื่องหอมระบายก็เพียงพอที่จะทำให้ท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์พึงพอใจ
หลังจากที่เหลิ่งชิงฮวนจากไปตำหนักฉาวเทียนก็ว่างเปล่า มู่หรงฉีเดินวนอยู่หน้าประตูแต่ก็รู้สึกเบื่อหน่าย ไม่สู้กลับไปที่ห้องตำราของตนดีกว่า
เปรียบเทียบให้เห็นชัด อาหารชนิดเดียวกันจะอร่อยกว่าเสมอเมื่อคนสองคนแย่งกันกิน
ไม่มีเหลิ่งชิงฮวนตำหนักฉาวเทียนที่เปล่าเปลี่ยวจะมีความหมายอะไร?
ทหารอารักขาเข้ามารายงานพร้อมกับเหลิ่งชิงหลางที่เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มและเอ่ยทักทายมู่หรงฉี
ดวงตาและคิ้วของมู่หรงฉีดูอ่อนลง “มีเรื่องอะไรรึ?”
เหลิ่งชิงหลางเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย “หากไม่มีเรื่องอะไรจะมาอยู่เป็นเพื่อนท่านอ๋องมิได้หรือเพคะ? ท่านอ๋องไม่ไปที่เรือนจื่อเถิงของหม่อมฉันหายวันแล้วนะเพคะ”
มู่หรงฉีเอ่ยเสียงเรียบ “ช่วงนี้ค่อนข้างยุ่ง”
เหลิ่งชิงหลางหยิบถุงกระดาษจากมือของแม่จ้าวที่อยู่ด้านหลัง เดินไปหามู่หรงฉีราวกับต้นหลิวลู่ลม
“ดังนั้นหม่อมฉันจึงไม่กล้ามารบกวนท่านอ๋อง ได้แต่ดูแลตัวเองอยู่เรือนจื่อเถิง บังเอิญหม่อมฉันไปเปิดสินเดิมดูก็เจอของที่คิดว่าท่านอ๋องน่าจะชอบจึงนำมาให้เพคะ”
มู่หรงฉีมองถุงกระดาษสี่เหลี่ยมในมือนาง “อะไรหรือ?”
เหลิ่งชิงหลางฉีกกระดาษด้านนอกออกเผยให้เห็นหนังสือสองเล่มข้างใน
“ครั้งก่อนที่หม่อมฉันมาที่ห้องตำราก็แอบเห็นว่าท่านอ๋องเป็นคนรักหนังสือ สองเล่มนี้คือบันทึกทางประวัติศาสตร์เนื้อหาเกี่ยวกับแนวทางการปกครองประเทศที่รวบรวมไว้โดยนักปราชญ์ชาวจีนผู้มีชื่อเสียงในราชวงศ์ก่อนๆ ที่หม่อมฉันหวงแหนมาก หม่อมฉันชื่นชมความเห็นของนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้แต่หม่อมฉันไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการเมือง ไม่รู้ว่าท่านอ๋องจะชอบหรือไม่”
มู่หรงฉีเลิกคิ้วด้วยความสนใจ เปิดหน้าหนังสืออ่านอย่างระมัดระวังสองหน้า พยักหน้าและชมเชย "เฉียบแหลมจริงๆ ความเห็นก็ช่างเฉียบคม"
“ท่านอ๋องชอบก็พอแล้วเพคะ”
นางกวาดสายตามองดูหนังสือรวบรวมบทกวีของเต้าหลินที่อยู่ด้านข้างก่อนจะหยิบมาพลิกดู เมื่อเห็นหน้าที่คั่นอยู่นางจึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“นี่ผลงานของพี่ชายหม่อมฉันไม่ใช่หรือเพคะ?”
ข้างในเป็นสำเนาข้อสอบที่เหลิ่งชิงเฮ่อสอบในฤดูใบไม้ร่วงปีนั้น
มู่หรงฉีตอบรับในลำคอ “เจ้าเคยอ่าน?”
“ครั้งหนึ่งท่านพ่อเคยใช้สิ่งนี้เป็นแรงบันดาลใจให้น้องชายของหม่อมฉันตั้งใจเรียน หม่อมฉันจึงได้อ่านมันเป็นพรสวรรค์ทางวรรณกรรมที่ล้ำเลิศ น่าเสียดายที่สวรรค์กลับอิจฉาผู้มีความสามารถ”
เมื่อเห็นใบหน้าที่เสียใจของนางมู่หรงฉีก็สงบใจลงและปลอบโยน "เหลิ่งชิงฮวนเก่งเรื่องการแพทย์ขนาดนั้น นางจะต้องรักษาอาการป่วยของเขาได้อย่างแน่นอน เจ้าไม่ต้องเสียใจ"
หัวใจของเหลิ่งชิงหลางสั่น “ท่านอ๋องเคยเจอพี่ชายหม่อมฉันด้วยหรือคะ”
จู่ๆ มู่หรงฉีก็นึกถึงคำแนะนำของเหลิ่งชิงฮวนก่อนจะเอ่ยอย่างฉุนเฉียว “เคยพบกันครั้งหนึ่งที่จวนมหาเสนาบดี แต่ว่าหนังสือรวบรวมบทกวีเต้าหลินนี้คัดลอกมาจากลายมือของเขา ดูแล้วลายเส้นสวยงามมีพลัง แข็งแกร่งจนหมึกทะลุไปด้านหลัง เชื่อว่าเขาจะค่อยๆ ดีขึ้นอย่างแน่นอน”
เหลิ่งชิงหลางกำหนังสือรวบรวมบทกวีในมือแน่น พลิกดูก่อนที่มือของนางจะสั่นเล็กน้อย “ท่านอ๋องบอกว่าหนังสือรวบรวมบทกลอนเล่มนี้เขียนโดยพี่ชายของหม่อมฉันหรือเพคะ”
“เมื่อไม่กี่วันก่อนเหลิ่งชิงฮวนทำลายหนังสือที่ข้าเก็บไว้ จึงขอให้พี่ชายของเจ้าคัดลอกให้ข้าอีกชุด”
นางไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย! เหลิงชิงหลางเริ่มหายใจติดขัด
มู่หรงฉีชำเลืองมองนาง รู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย:"มีอะไรหรือ? "
“เปล่าเพคะ ได้ยินท่านอ๋องบอกว่าร่างกายของท่านพี่ค่อยๆ ดีขึ้นแล้วก็เลยดีใจเพคะ”
มู่หรงฉีคิดถึงท่าทีของเหลิ่งชิงฮวนที่มีต่อเรื่องนี้ทั้งยังกำชับไม่ให้เขาบอกเหลิ่งชิงหลาง แม้จะบอกว่าเพื่อทำให้มหาเสนาบดีตกใจแต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะปกปิดนาง ส่วนเหลิ่งชิงหลางที่ได้ยินเรื่องนี้ก็มีความสุขเกินบรรยาย แสดงให้เห็นว่านางเป็นห่วงพี่ชายต่างมารดาคนนี้มาก
เมื่อเทียบกันแล้วเหลิ่งชิงฮวนดูใจแคบไปเล็กน้อย
เหลิ่งชิงหลางกอดหนังสือไว้ในอ้อมแขน “หม่อมฉันเลื่อมใสในชื่อเสียงของพระเต้าหลินมานาน อีกทั้งยังชื่นชอบบทกวีของท่าน ท่านอ๋องจะให้หม่อมฉันยืมหนังสือเล่มนี้ได้ไหมเพคะ”
มู่หรงฉีเอ่ยอย่างไม่สนใจ “เอาไปสิ”
เหลิ่งชิงหลางเอ่ยขอบคุณก่อนจะขอตัวออกมา
แม่จ้าวที่อยู่ด้านหลังไม่เข้าใจก่อนจะเอ่ยถามอย่างสงสัย “ท่านอ๋องชื่นชมคุณหนูเช่นนั้น โอกาสดีๆ เช่นนี้ทำไมคุณหนูไม่คว้าไว้แต่เลือกที่จะกลับไปอ่านหนังสือล่ะเจ้าคะ”
เหลิงชิงหลางไม่ตอบคำถามของแม่จ้าว นางไม่จำเป็นจะต้องรู้ไปหมดทุกเรื่อง “ข้ามีธุระต้องเขียนจดหมายส่งไปให้ท่านแม่ที่จวนมหาเสนาบดี เจ้ารีบไปจัดการหาคนที่ซื่อสัตย์และไว้ใจได้มา”
แม่จ้าวรู้สึกงุนงง แต่ก็รีบไปจัดการโดยไม่ถามอะไรให้มากความ
จดหมายฉบับนั้นถูกส่งถึงมือของจินซื่อตอนกลางคืน
จินซื่อที่อ่านจดหมายจบก็อกสั่นขวัญแขวน รีบสั่งให้คนรับใช้เรียกคนสนิทที่ติดต่อกับหมิงเย่ว์มา
“ครั้งก่อนที่ให้เจ้าไปที่สุสาน หมิงเย่ว์ได้พูดอะไรเกี่ยวกับความผิดปกติของไอ้คนป่วยนั่นไหม”
คนสนิทส่ายหน้า “หมิงเย่ว์บอกว่าคุณชายยังมีสภาพไม่ต่างจากเมื่อก่อน ไร้เรี่ยวแรงเหลือแต่ลมหายใจเท่านั้น”
“เขาบอกว่าเหลิ่งชิงฮวนเคยไปเยี่ยมเหลิ่งชิงเฮ่อ มีอะไรไหม?”
“ครั้งก่อนกระหม่อมก็รายงานกับฮูหยินไปแล้ว คุณหนูใหญ่เห็นว่าเขาที่ป่วยจนติดเตียงแต่ก็ไม่ลืมที่จะทำงานหนัก นางจึงโมโหโยนพู่กัน หมึกและตำราทั้งหมดทิ้ง อ้อ มีอีกเรื่องเล็กน้อยที่กระหม่อมไม่ได้รายงาน เหลิ่งชิงเฮ่อเคยคัดลอกบทกวีชุดหนึ่งสั่งให้หมิงเย่ว์นำไปมอบให้คุณหนูใหญ่ที่จวนอ๋องฉี”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา
โอ๊ยยยยยยย ปวดตับ น้ำตาท่วมเลยยยยย ฮือออออออ😫😫...
แอดน่ารักที่ซู๊ดๆๆๆๆๆๆ...
นางเอก บ้า วันๆ ทำแต่เรืองไร้สาระ...
ปญอ. พระเอกนางเอก ทะเลาะกันทั้งเรื่อง...
เมื่อไหร่จะหย่าซะที ได้แต่พูด เบื่อ...
แอดกลับจากพักร้อนแล้ว ดีใจจัง จุ๊ฟๆๆๆ...
แอดขา...ตอนนี้กำลังจะเริ่มพิธีทางไสยศาสตร์เพื่อตามแอดกลับมาอัพต่อแล้วนะคะ..แอดอยู่หนายยยย..จุ๊กกรู๊ๆๆๆๆๆๆ😅😄🤗😊...
แอดดดดดดด ลูกบ้านให้อภัยแล้ววววว กลับมาเร็วๆ...
แอดขาาาาาา หนีเที่ยวอีกแล้ว สงสารเถอะ อัพหน่อย...
ไหงตัดจบกันแบบนี้🙄🙄...