ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา นิยาย บท 103

กว่าเสนาบดีเหลิ่งและจินซื่อจะกลับมาถึงจวนก็เป็นยามค่ำแล้ว

เหลิ่งชิงเจียวเองก็ได้ข่าวว่าเหลิ่งชิงฮวนมาที่จวนเมื่อวาน จินซื่อกลัวว่าเขาจะไปยั่วยุเหลิ่งชิงฮวนอีกครั้งจึงเตือนเขาล่วงหน้า

ครั้งก่อนที่จวนเขาเสียเปรียบให้กับเหลิ่งชิงฮวน ความแค้นสะสมอยู่ในใจมานาน เขาจะยอมวางมือง่ายๆ ได้อย่างไร? วันนี้เมื่อเสนาบดีเหลิ่งและจินซื่อออกไปด้านนอก เขาจึงเรียกลูกน้องมาสองคนจะต้องทำให้เหลิ่งชิงฮวนได้เจอดีแน่ๆ

ลูกน้องสองคนนี้ไม่ใช่คนอื่น พวกเขาเป็นคุณชายน้อยจวนรองเสนาบดี หลานชายของตระกูลที่สองและสามของตระกูลจิน

ทั้งสามคนอายุไล่เลี่ยกันและเรียนอยู่ในจวนของมหาเสนาบดี ตระกูลจินจ้างอาจารย์ชื่อดังเข้ามาสอนแบบส่วนตัวเพื่อหวังให้ลูกชายของพวกเขาประสบความสำเร็จ

อย่างไรก็ตามพวกเขายังเป็นเด็กและไม่มีเจตนาร้ายที่จะสร้างปัญหาให้กับเหลิ่งชิงฮวน พวกเขาแค่ต้องการทำให้นางอับอาย เห็นนางเจอโชคร้ายและโมโหก็เท่านั้น

ทั้งสามคนสุมหัวกระซิบกระซาบกันสั่งให้คนรับใช้ไปหางูดอกกะหล่ำมาสองตัวและน้ำแกงมูลสัตว์หนึ่งหม้อ พวกเขาวางแผนจะวางน้ำแกงมูลสัตว์ไว้ที่ประตูห้องของเหลิ่งชิงฮวนแล้วโยนงูเข้าไปทางหน้าต่าง เมื่อเหลิ่งชิงฮวนตกใจวิ่งหนีออกมาก็จะถูกน้ำแกงมูลสัตว์ราดอย่างแน่นอน

พวกเขาทั้งสามคนพยายามเบี่ยงเบนความสนใจของอาจารย์ก่อนจะลงมือ

คนที่เรียนกับพวกเขาคือเหลิ่งชิงฮว่า คุณหนูสี่ของจวนมหาเสนาบดีซึ่งอายุเพียงสิบปี นอกจากเรียนเย็บปักถักร้อยแล้วนางยังมาที่นี่เพื่อเรียนรู้คำศัพท์สองสามคำและท่องบทกวีทุกวัน

เมื่อเห็นทั้งสามคนกระซิบกัน นางก็รู้ได้ทันทีว่าพวกเขากำลังวางแผนชั่วร้ายบางอย่าง ดังนั้นนางจึงฟังอย่างเงียบๆ และวิ่งไปรายงานเหลิ่งชิงฮวน

ซื่ออี๋เหนียงเป็นสาวใช้ที่แต่งเข้าตามของจินซื่อ เป็นคนค่อนข้างอ่อนโยน แต่ลูกสาวของนางคนนี้กลับฉลาดและสนิทกับเหลิ่งชิงฮวนคนเดิมเป็นการส่วนตัว แต่นางไม่กล้าที่จะเข้ามาพูดคุยอย่างโจ่งแจ้ง

เหลิ่งชิงฮวนฟังคำพูดที่หอบของนาง ยิ้มเบาๆ ก่อนจะลูบหัวเล็กน้อยและหยิบขนมหนึ่งกำมือให้ “ขอบคุณ พี่สาวรู้แล้ว เจ้าควรกลับไปโดยเร็ว อย่าให้พวกเขารู้แล้วกลับไปแกล้งเจ้าล่ะ”

เหลิ่งชิงฮว่าพยักหน้า แต่ก็ยังไม่วางใจกำชับอีกครั้งก่อนจะอ้อมกลับไปอีกทาง

เหลิ่งชิงฮวนเตรียมตัวพร้อมแล้ว พวกเหลิ่งชิงเจียวไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธออย่างแน่นอน

เมื่อได้รับรายงานจากคนรับใช้ที่เฝ้าประตูว่าเสนาบดีเหลิ่งและจินซื่อกลับมาแล้ว พวกเหลิ่งชิงเจียวที่ช่วยกันถือหม้อน้ำแกงมูลสัตว์ไว้สูงก็เริ่มหมดแรงแขนสั่น

แต่เหลิ่งชิงเจียวอ้วนและเตี้ยดังนั้นเขาจึงเสียเปรียบ ตอนที่เด็กชายตัวเล็กๆ สองคนของตระกูลจินยกมันขึ้นเล็กน้อยหรือตอนที่เขาแอบอู้จนหม้อเอียง น้ำแกงมูลสัตว์ก็จะกระเซ็นออกมาใส่ศีรษะและใบหน้าของเขา

เหลิ่งชิงฮวนถูกห้อมล้อมด้วยหญิงสูงอายุหลายคน พวกเขาพูดคุยกันอย่างมีความสุขด้านข้างมีงูดอกกะหล่ำสองตัวที่ขดอยู่เชื่องๆ

“สาเหตุของอาการวิงเวียนศีรษะของท่านไม่ได้มาจากศีรษะแต่เกิดจากกระดูกสันหลังส่วนคอ ท่านทำงานเย็บปักถักร้อยโดยก้มหน้าลงเป็นเวลานาน ปุ่มกระดูกในกระดูกสันหลังส่วนคอนี้จึงกดทับเส้นประสาทสมองและทำให้เลือดไหลเวียนไม่ดี ท่านจึงมักรู้สึกวิงเวียนศีรษะและคลื่นไส้อาเจียนเป็นบางครั้ง”

“ข้าจะจ่ายยาเม็ดให้ท่านเพื่อรักษาอาการวิงเวียนและเลือดไหลเวียนไม่ดี ส่วนเวลาปกติท่านต้องระวังบริเวณคอเป็นพิเศษ ตอนนอนอย่านอนหมอนสูงมาก ดีที่สุดคือหมอนทรงกลมที่ถักทอจากเส้นใยของข้าวสาลีหรือถั่วเขียว วางรองไว้ใต้คอเพื่อรักษาอาการคอยื่น”

หญิงสูงอายุเหล่านั้นเบียดเสียดกันเข้ามาอย่างทนรอไม่ไหว “ตาข้าแล้ว ตาข้าบ้าง”

จินซื่อทั้งโกรธและทุกข์ในเวลาเดียวกัน แต่เมื่อดูท่าทางนี้ก็รู้ได้ว่าราชาปีศาจน้อยทั้งสามต้องมาหาเรื่องแน่ๆ นางจึงส่งเสียงกระแอมเบาๆ เหล่าหญิงสูงอายุหยุดส่งเสียโหวกเหวกทันทีก่อนจะพากันฉุดกระชากออกไป

ดังคำกล่าวที่ว่าลูกชาวนามักจะตัวเล็ก เช่นเดียวกับเหลิ่งชิงเจียวที่ถูกเสนาบดีเหลิ่งมองว่าเป็นเด็กทารก เมื่อเห็นว่าเขาถูกทำร้ายก็รู้สึกทุกข์ใจมาก ไม่ต้องถามถึงเหตุผลมากมายเขารีบสั่งให้คนไปยกหม้อน้ำแกงในมือของเด็กทั้งสามลงมา

คนรับใช้มองไปที่งูดอกกะหล่ำในมือของเหลิ่งชิงฮวนที่ไม่ขยับไปไหน

มหาเสนาบดีฝ่ายขวารู้สึกได้ทันทีว่าความน่าเกรงขามของจวนมหาเสนาบดีของเขาถูกท้าทาย คนรับใช้เหล่านี้ไม่สนใจคำสั่งของพวกเขาด้วยซ้ำ

เขาก้าวไปข้างหน้าด้วยความโกรธ ไม่ต้องรอให้เหลิ่งชิงฮวนเอ่ยปากโตวโตวก็ชิงเล่าเรื่องทั้งหมด

เหลิ่งชิงฮวนเองก็ไม่ไว้หน้าพ่อของเธอ เมื่อเห็นเขากลับมาเธอขยิบตาให้คนรับใช้และยกโทษให้เด็กทั้งสามคน

เสนาบดีเหลิ่งหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้ง "ชิงฮวน ในเมื่อเจ้ากลับมา พ่อเห็นเจ้าสบายดีก็โล่งใจ เช่นนั้นอีกประเดี๋ยวพ่อจะส่งคนพาเจ้ากลับไปแล้วกัน"

เหลิ่งชิงฮวนกำลังเล่นกับงูดอกกะหล่ำสองตัวในมือ ในใจแอบคิดว่าคืนนี้จะทำแกงหรือผัด เมื่อได้ยินว่าท่านพ่อราคาถูกของเธอออกคำสั่งไล่แขกก็ส่ายหน้า “ไม่ได้หรอกเพคะ ลูกสาวยังคิดถึงท่านพ่อ ทำไมจะไม่ให้ข้าอยู่ดูแลท่านพ่ออีกสักหน่อยล่ะเพคะ”

“เจ้าแต่งเข้าเป็นสตรีตระกูลอื่นแล้ว จวนอ๋องคือบ้านของเจ้า”

เหลิ่งชิงฮวนถอนหายใจ “ต่างพูดกันว่าเมื่อสตรีแต่งงานแล้ว นางก็จะกลายเป็นแขกของบ้านตนและเป็นคนนอกของบ้านสามี ท่านพ่อกลัวว่าลูกจะมากินข้าวของท่านหรือเพคะ”

เสนาบดีเหลิ่งเกลี้ยกล่อมอย่างจริงจังอีกครั้ง “พ่อยินดีต้อนรับเจ้ากลับบ้านอย่างแน่นอน แต่จะให้ข้างกายท่านอ๋องไม่มีคนคอยปรนนิบัติได้อย่างไร”

เหลิ่งชิงฮวนเปิดเปลือกตาของเธอ “ยังมีน้องสาวอยู่ไม่ใช่หรือเพคะ? พวกท่านเรียกข้ากลับมาไม่ใช่เพื่อให้น้องสาวกับท่านอ๋องได้พัฒนาความสัมพันธ์กันให้แน่นแฟ้นมากขึ้นหรือเพคะ”

ในที่สุดเสนาบดีเหลิ่งก็เข้าใจว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่าเชิญเทพง่าย ส่งเทพยาก นางคนไร้ยางอายนี่ไม่คิดจะไปด้วยซ้ำ

แต่เขาไม่รู้ว่าไม่ใช่เพราะเหลิ่งชิงฮวนคิดถึงบ้าน แต่เพราะเธอไม่มีบ้านให้กลับ มู่หรงฉียึดครองตำหนักฉาวเทียน ยึดเตียงของเธอ อีกทั้งเขายังโมโหร้าย รออีกสองวันให้เขาสงบสติอารมณ์ก่อนเธอค่อยกลับไป

ที่นี่มีให้ดื่มให้กินไม่ต้องควักเงินตัวเอง ดีจะตาย

จินซื่อเองก็รู้สึกว่าการตัดสินใจของนางจะผิดพลาด และนางยังรู้สึกโกรธนิดๆ

เดิมที่นางต้องการให้เหลิ่งชิงฮวนมาอาศัยอยู่ที่นี่สักสองสามวันอย่างสงบ เพื่อให้เวลาเหลิ่งชิงหลางในการคว้ามู่หรงฉีมา แต่เหลิ่งชิงฮวนในตอนนี้ทำให้นางรู้สึกหวั่นเกรง

นางรู้สึกว่าเหลิ่งชิงฮวนกลับจวนมายังไม่ถึงวันสองวันก็ราวกับว่ามีบางอย่างที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของนาง บอกไม่ถูกว่าคืออะไร แต่เหมือนกับประทัดมัดหนึ่งที่ฝังอยู่ในสวนด้านหลังและพร้อมที่จะระเบิดได้ทุกเมื่อ

สิ่งนี้เรียกว่ากินปูนร้อนท้อง นางทำสิ่งเลวร้ายมากเกินไป เมื่อมองไปที่ดวงตาที่ฉลาดหลักแหลมราวกับมองทะลุทุกอย่างของเหลิ่งชิงฮวนก็ยิ่งทำให้นางรู้สึกว่าจะเก็บความลับต่อไปไม่ไหว อยากขับไล่นางไปให้เร็วที่สุด

ขณะที่นางและเสนาบดีเหลิ่งกำลังคุยกันเป็นการส่วนตัวว่าจะส่งเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่องค์นี้ออกไปอย่างไร คนรับใช้ก็เข้ามาแจ้งว่าท่านอ๋องฉีมาถึงแล้ว

เสนาบดีเหลิ่งมีความสุขและยืนขึ้น “รีบเชิญเข้ามา”

ทันทีที่คำว่า “เชิญ” ถูกเปล่งออกมา อ๋องฉีผู้สง่างามก็เข้ามาในห้องโถงด้านหน้า ท่าทางดูกระวนกระวายใจเล็กน้อย

เสนาบดีเหลิ่งและจินซื่อรีบไปทำความเคารพทักทาย

“ไม่รู้ว่าท่านอ๋องฉีจะมา ข้าน้อยมิได้ออกไปต้อนรับต้องขอประทานอภัย”

มู่หรงฉีฟังเขาพูดถ้อยคำสุภาพยาวเหยียดนี้อย่างอดทน จากนั้นก็เม้มริมฝีปากบางของเขา “เสนาบดีเหลิ่งเกรงใจแล้ว”

จินซื่อรีบสั่งให้คนรับใช้ในจวนยกน้ำชาขึ้นมา มู่หรงฉีโบกมือ “ช่างเถอะ”

เสนาบดีเหลิ่งมองไปที่การแสดงออกของเขาอย่างเงียบๆ พยายามคิดหาเหตุผลที่เขามา หลังจากเฝ้าดูเป็นเวลานานก็ไม่เห็นเบาะแสใดๆ จากใบหน้าที่เรียบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลงของมู่หรงฉี เขาทำได้เพียงถามอย่างระมัดระวัง “ขออภัย ท่านอ๋องมาถึงที่นี่มีเรื่องอะไรจะชี้แนะหรือ?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา