ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา นิยาย บท 109

คำพูดของเหลิ่งชิงหลางแฝงความหมายอื่น จนใบหน้าของมู่หรงฉีขรึมลงกว่าเดิม

เหลิ่งชิงฮวนมองไปที่ชุดผ้าปักที่เหลิ่งชิงหลางสวมใส่ด้วยรอยยิ้มกริ่มก่อนจะหรี่ตาเล็กน้อย “เดิมทีข้าก็อยากจะปรึกษาน้องสาว แต่เห็นผ้าปักที่เลื่อมเงินเลื่อมทองบนตัวน้องสาวแล้วข้าก็ได้แต่ปล่อยไป อย่างไรมันก็เป็นเครื่องบรรณาการของราชวงศ์ แม้ว่าข้าจะเป็นถึงพระชายา เป็นบุตรีจวนมหาเสนาบดี แต่ก็ไม่อาจสวมใส่ได้”

วันนี้เหลิ่งชิงหลางแต่งตัวเป็นพิเศษเพื่อไปงานเลี้ยงที่จวนรองเสนาบดี เสื้อผ้าที่นางสวมใส่นั้นไม่น้อยเลย ล้วนเป็นเครื่องราชบรรณาการที่ฮ่องเต้พระราชทานให้เสนาบดีเหลิ่งเพื่อเป็นรางวัลจากการทำงานหนัก บุตรีคนอื่นในจวนคงไม่อาจสวมใส่ได้จึงทำเป็นสินเดิม วันนี้นางสวมใส่บนร่างกายก็เพื่อจะแสดงศักดิ์ศรีและอำนาจในงาน

ใครจะคิดยั่วโมโหเหลิ่งชิงฮวน เมื่อนึกถึงท่าทางแกล้งทำเป็นโกรธตามปกติของเธอก็ไม่ต่างอะไรกับการปาหินใส่เท้าตัวเอง

มู่หรงฉีกระแอมเบาๆ อย่างไม่พอใจ “หลินเฟิง ไปถึงแล้วก็ฝากคำขอโทษไปให้จิ่งอวิ๋นด้วย ขอบคุณสำหรับน้ำใจของเขา หากข้ามีเวลาจะรีบไปที่จวนท่านเคาท์ทันที”

เสิ่นหลินเฟิงรับคำสั่ง “ได้ขอรับ กว่าจิ่งอวิ๋นจะกลับมาเมืองหลวงได้สักครั้งนั้นยากเหลือเกิน พวกเราสามคนพี่น้องต้องดื่มให้เมากันไปข้าง หากวันนี้ไม่บังเอิญก็เปลี่ยนเป็นวันหน้า ข้ากับพี่สะใภ้ล่วงหน้าไปก่อน”

วันนี้เสิ่นหลินเฟิงขี่ม้ามาพร้อมกับรถม้าที่เตรียมไว้ด้านหลัง เมื่อเหลิ่งชิงฮวนขึ้นรถม้าก็ออกเดินทางทันที องครักษ์หน้ากากผียังคงคุ้มกันไม่ห่าง

“ท่านพี่กับข้าแล้วก็จิ่งอวิ๋นคุณชายรองจวนท่านเคาท์เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก แต่จิ่งอวิ๋นไม่ได้ฝักใฝ่ด้านทางการและเลือกที่จะทำกิจการ เขามักจะเดินทางไปที่หนานจ้าว เปอร์เซียมักไม่ค่อยอยู่ในเมืองมากนัก เมื่อวานเขาส่งคำเชิญมาให้ท่านพี่ แต่คนรับใช้ไม่รู้ความท่านพี่จึงคิดว่าเป็นคำเชิญของจวนท่านเคาท์จึงเอ่ยปฏิเสธไป”

“ดังนั้นวันนี้ข้าจึงมาด้วยตัวเอง จิ่งอวิ๋นกำชับมาว่าต้องพาพี่สะใภ้ไปด้วยให้ได้ ใครจะคิดว่าท่านพี่จะตกลงไปอวยพรให้กับผู้เฒ่าจินที่จวนรองเสนาบดีก่อน ท่านพี่บอกให้พวกเราไปก่อน เมื่อเสร็จกิจก็คงจะตามไป”

“ปีนี้จิ่งอวิ๋นทำเงินได้มหาศาล วันนี้จะต้องขูดรีดเขาสักหน่อยแล้ว ให้เขาชดเชยของขวัญแต่งงานให้ท่านจะไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ แน่”

รถมาโยกไปมา เสิ่นหลินเฟิงขี่ม้าขนาบข้างไปพลางอธิบายให้เหลิ่งชิงฮวนฟัง

เหลิ่งชิงฮวนเองก็ชะโงกหน้าออกมานอกหน้าต่างเพื่อสูดอากาศและพูดคุยกับเสิ่นหลินเฟิง

“หม่อมฉันไปจวนท่านเคาท์มาสองครั้งก็เห็นว่าดูหรูหราโอ่อ่า ที่แท้ก็มีช่องทางทำเงินนี่เอง ไม่แปลกใจเลย”

เสิ่นหลินเฟิงพยักหน้า “เรือนในจวนของท่านเคาท์นั้นไม่ได้ใช้เงินอะไรมากมาย อาศัยเพียงเงินเดือนเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น กลัวแต่ว่า…”

พูดได้ครึ่งหนึ่งเสิ่นหลินเฟิงก็หน้าเปลี่ยนสี เขาเงยหน้าและตะโกน “มือสังหาร!”

แต่สายเกินไป ไม่นานบนศีรษะก็เกิดแสงเย็นเข้ามาปกคลุม ชายชุดดำหลายคนกระโดดลงมาจากหลังคาและเล็งดาบยาวในมือไปที่เสิ่นหลินเฟิง

ให้ตายเถอะ หนึ่งในสองคนคือพระชายา อีกคนเป็นรัชทายาทจวนกั๋วกง กลางวันแสกๆ ข้างถนนยังมีคนกล้าลงมือฆ่ากันอีกเหรอ? ใครกันที่กล้ากินดีหมีหัวใจเสือเช่นนี้?

ดูท่าป้ายชื่อของมู่หรงฉีจะไม่แข็งพอสินะ

บุรุษที่แท้จริงต้องยอมลดราวาศอกได้ เหลิ่งชิงฮวนหดหัวเข้าไปในรถม้า จากนั้นดาบยาวก็เข้ามาแตะด้านหลังเธออย่างไร้เสียง

ใครบางคนยกยิ้มท่ามกลางความมืด “วางอาวุธและกำลังทั้งหมดลงเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นข้าจะฆ่านาง”

เสิ่นหลินเฟิงที่อยู่ด้านนอกรู้สึกตกใจเมื่อได้ยินคำพูดนั้น แต่มือสังหารใช้ประโยชน์จากสถานการณ์และกดดาบลงที่คอ

องครักษ์หน้ากากผีสองคนที่กำลังต่อสู้อยู่นั้นไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม

เหลิ่งชิงฮวนสอดมือเข้าไปในแขนเสื้อก่อนจะทำหน้าตกอกตกใจ “เจ้าเป็นใคร? คิดจะทำอะไร?”

ดาบยาวด้านหลังเข้ามาใกล้อีกนิด “อยากจะเชิญพระชายาไปที่บ้านของข้า ขออภัย ล่วงเกินท่านแล้ว”

จากนั้นเขาก็เปล่งเสียงพูดว่า “ไปบอกท่านอ๋องฉีว่าฮูหยินที่เพิ่งแต่งของเขาถูกลักพาตัว หากต้องการช่วยนางก็ให้นำเงินหมื่นตำลึงมาที่หอฝูเซิง ห้ามพาทหารองครักษ์มาให้มาตัวคนเดียว หากยามเที่ยงสามเค่อแล้วยังไม่เห็นเขา เช่นนั้นก็ต้องขออภัยด้วย”

เหลิ่งชิงฮวนเอ่ยถามอย่างรนหาที่ตาย “ทำไมต้องขออภัย? ลักพาตัวหรือ? ล้อเล่นหน่า ได้ดีแล้วทิ้งภรรยา บุรุษสามชายาอย่างมู่หรงฉีคงดีใจแทบทนไม่ไหวด้วยซ้ำ เจ้าทำผิดที่ไหนกัน นี่เป็นการช่วยเขาชัดๆ”

“หุบปาก!” ร่างด้านหลังขัดคำพูดเธอ “ข้าจะนับถึงสาม หากเจ้าสองคนยังไม่ยอมถอยไป หึๆ …”

ยังไม่ทันได้พูดจบองครักษ์หน้ากากผีทั้งสองก็หายไปทันที

เหลิ่งชิงฮวนยังคงอยู่ในท่าที่หันหน้าออกไปด้านนอก เมื่อเห็นพวกเขาสองคนขาดความภักดีก็ถอนหายใจเบาๆ “ถ้าเขามาจับตาดูข้าจริงๆ ก็คงจะลังเลและพยายามต่อสู้บ้างให้ข้ามีค่าพอจะเป็นตัวประกันสักหน่อย แต่นี่บอกให้ทิ้งก็ทิ้งกันเลยเหรอ”

เสิ่นหลินเฟิงกระตุกมุมริมฝีปากทันทีราวกับว่าเขาอดที่จะหัวเราะไม่ได้

เหลิ่งชิงฮวนหันหน้าหนีก่อนจะค่อยๆ ดันดาบยาวนั้นออก “ปล้นจี้พระชายาแต่เรียกเงินแค่หมื่นตำลึงที่ยังไม่พอจะซื้อยาสองกล่องเลยด้วยซ้ำ อย่างน้อยก็เรียกสักสองเท่า พวกเราแบ่งกันคนละครึ่ง ได้ผลประโยชน์แบบนี้สิดีจะตาย”

ดาบยาวตกกระทบพื้นรถม้าจนเกิดเสียงดัง มือสังหารที่ไม่เคยพบเจอโลกตะลึงอ้าปากค้าง

มู่หรงฉีและเหลิ่งชิงหลางกำลังเดินทางไปที่จวนรองเสนาบดี เขาขี่ม้าโดยไม่พูดอะไรสักคำ อีกทั้งยังรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย

เมื่อครู่ที่เสิ่นหลินเฟิงและเหลิ่งชิงฮวนยืนอยู่ด้วยกันนั้นดูเหมาะสมราวกับหยกคู่แกะสลัก เขาทำเป็นหูทวนลมกับสิ่งที่เหลิ่งชิงหลางพูดกับเขา

องครักษ์หน้ากากผีรีบตามมาก่อนจะหอบหายใจหนัก “ท่านอ๋อง ช้าก่อนขอรับ”

เขาดึงบังเหียนม้า สีหน้าสงสัย “ทำไมหรือ?”

องครักษ์คุกเข่าลงกับพื้น “ข้าน้อยไร้ความสามารถ พระชายาถูกคนชั่วดักปล้น อีกฝ่ายบอกว่าให้ท่านอ๋องนำเงินจำนวนหมื่นตำลึงไปมอบให้ที่หอฝูเซิงภายในยามเที่ยงสามเค่อ ห้ามพาองครักษ์ไปให้ไปคนเดียว ไม่อย่างนั้นพวกมันจะลักพาตัวพระนาง”

“อะไรนะ?” คิ้วเรียวของมู่หรงฉีขมวด มือกำบังเหียนแน่น “ใครมันบังอาจเช่นนี้ กล้าปล้นจี้พระชายากลางวันแสกๆ”

เหลิ่งชิงหลางชะโงกตัวออกมานอกหน้าต่างอย่างตื่นเต้นพร้อมกับเงี่ยหูฟัง ก่อนที่มุมปากของนางจะค่อยๆ ยกขึ้นอย่างปิดไม่มิด

“พวกมันล้วนใส่ชุดสีดำ ที่มาและกระบวนท่าไม่ชัดเจน แม้แต่รัชทายาทยังถูกจับเป็นตัวประกัน”

มู่หรงฉีตัดสินใจบังคับม้ากลับไปอีกทางอย่างเด็ดขาด

“ท่านอ๋อง!” เหลิ่งชิงหลางโน้มตัวออกมาด้านนอก “ท่านอ๋องไม่ไปจวนรองเสนาบดีกับหม่อมฉันแล้วหรือเพคะ”

แม่จ้าวรีบกระตุกชายเสื้อนางอย่างร้อนรน

มู่หรงฉีหันหน้ามามองนางอย่างเย็นชา “ข้าว่าเจ้าควรจะเป็นห่วงความปลอดภัยของพี่สาวเจ้ามากกว่านะ”

เหลิ่งชิงหลางสะอึก ยังไม่ทันจะได้อธิบายอะไรมู่หรงฉีก็ควบม้าจากไปแล้ว

แม่จ้าวเอ่ยเตือน “ฮูหยินเจ้าคะ พวกเราควรจะตามท่านอ๋องไปดูไหมเจ้าคะ”

เหลิ่งชิงหลางลังเลก่อนจะพึมพำเสียงเบา “ทำไมข้าต้องไป? เหลิ่งชิงฮวนจะเป็นหรือตายเกี่ยวอะไรกับข้า”

ต่อให้นางย้อนกลับไปอีกทาง มู่หรงฉีก็คงไม่ยอมรับความรู้สึกนี้ของนางอย่างแน่นอน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา